Thursday, October 26, 2006

An Inconvenient Truth สัญญาณเตือนพิบัติโลก

An Inconvenient Truth สัญญาณเตือนพิบัติโลก>>20 กันยายน 2549 16:16 น.>>"เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเวลานักการเมืองพูดอะไรออกมา >>ต้องเอาสองหารแล้วใส่ตระแกรงร่อน ที่เหลือคือ ความจริง แต่สำหรับ An >>Inconvenient Truth ที่ออกมาจากปากผู้ที่เกือบจะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 43 >>แห่งสหรัฐ คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม >>ร่วมเปิดเผยความจริง">>>>กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :>>สหรัฐเคยมีประธานาธิบดีที่อดีตเคยเป็นดาราภาพยนตร์อย่างพระเอกคาวบอย โรนัลด์ >>เรแกน แต่สำหรับอัล กอร์>>กลับเป็นอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ที่เปิดโปงความจริงให้โลกตระหนักถึงภาวะโลกร้อน>>อัล กอร์ รับบทเป็นตัวเขาเองในภาพยนตร์เรื่อง An Inconvenient Truth >>ที่มีความยาว 94 นาที>>บางคนอาจจะอยากรู้ว่าหลังจากเขาพ่ายการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับจอร์จ >>บุช แล้ว วิถีชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างไร หรือไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร >>เพราะเนื้อเรื่องที่เขานำมาเสนอน่าสนใจกว่า>>>> ผีเสื้อขยับปีก>> ภาพโคลสอัพจับไปที่ หมีขาวขั้วโลก ที่กำลังพยายามตะเกียก >> ตะกายว่ายน้ำ เพื่อขึ้นไปอยู่บนแผ่นน้ำแข็งเล็กๆแผ่นหนึ่ง >> แต่มันตกลงมาอีกครั้งพร้อมกับแผ่นน้ำแข็งที่แตกกระจายออกไป ดูเหมือนว่า>>>> >ความพยายามของมันจะไม่มีที่สิ้นสุด มันว่ายน้ำ ไปหาแผ่นน้ำแข็งแผ่นใหม่>>ขณะที่กล้องค่อยๆ แพนภาพให้เห็นในมุมกว้าง >>แผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กน้อยที่หมีขั้วโลกกำลังปีนปาย >>เป็นเพียงจุดเล็กกลางมหาสมุทร>>>> ...มันต้องว่ายน้ำอีกไกลแค่ไหน>>จึงจะถึงแผ่นน้ำแข็งที่เคยเป็นบ้านที่อบอุ่น ... ความพยายามของหมีขาวขั้วโลก >>ให้ทั้งความรู้สึกหวาดหวั่น และลุ้นระทึกกับผู้ชมที่เข้ามานั่งดู>>>>หนังสารคดีเล็กๆ An Inconvenient Truth ซึ่งจัดขึ้น โดย ภาควิชาฟิสิกส์ >>คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใครจะไปคิดว่า>>>>น้ำแข็งขั้วโลกที่ติดกันเป็นแผ่นใหญ่สีขาวโพลนจะกลายเป็นเวิ้งมหาสมุทรและมีเศษแผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจาย>>>> หลังจากการพ่ายการแข่งขันชิงประธานาธิบดีในปี ค.ศ.2000 อัล >> กอร์ พลิกบทบาทตัวเองเป็นพระเอกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม>>>>ตีแผ่เรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตการณ์โลกร้อนอย่างแจ่มแจ้ง >>ตั้งแต่จุดแรกของปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงบทอวสานของโลก>> >ที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่กี่สิบปี>>>> ต้องยอมรับว่า>>มีนักการเมืองของสหรัฐไม่กี่คนที่เข้าใจปัญหาโลกร้อน อัล กอร์ >>คือไม่กี่คนในจำนวนนั้น>>เขาเป็นนักสิ่งแวดล้อมที่ได้รับตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง >>ในฐานะรองประธานาธิบดีสมัยรัฐบาลบิล คลินตัน>>เขาผลักดันให้เกิดการประชุมพิธีสารเกียวโตว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ >>ในปี ค.ศ.1997 >>เพื่อให้ประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมลงสัตยาบันรับมือกับปัญหาโลกร้อน >>โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ >>ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น>>>> อัล กอร์ ปรากฏตัวบนเวทีด้วยบุคคลิกที่เป็นกันเอง >> และพกพาอารมณ์ขันเรียกเสียงหัวเราะแก่ผู้ฟังโดยบอกว่า>>" I'm Al Gore. I used to be the next president of the United States" >>แต่สิ่งเขาตั้งคำถามต่อมา>> >พร้อมกับนำเสนอข้อมูลและต้นเหตุของภัยพิบัติที่เกิดในรอบทศวรรษ>>พลันเสียงในห้องสัมมนาเงียบกริบ สลับกับเสียงถอนลมหายใจ>>เขาถามว่า "แล้วเราจะเหลืออะไรเอาไว้ให้ลูก >>หากว่าชั้นบรรยากาศที่บอบบางที่สุดในระบบนิเวศของโลกไม่ทำหน้าที่กรอง >>แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องทะลุชั้นบรรยากาศมายังพื้นผิวโลก >>และนำความอบอุ่นมาให้>>>> >แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหากอุณหภูมิโลกร้อนเกินไป">>>>เป็นความจริงที่ว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกดำรงอยู่ได้เพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ >>และก๊าซอื่นๆ>>ห่อหุ้มโลกไว้ทำให้โลกอบอุ่นและน่าอยู่ แต่การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากฟอสซิล >>ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมัน ตลอดจนการหักล้างทำลายป่า >>ยิ่งเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมากขึ้น >>และอุณหภูมิโลกยิ่งสูงขึ้น>>>> สารคดี ได้ฉายภาพเปรียบเทียบน้ำแข็งทั่วโลก >> จากภาพถ่ายเทือกเขาคีรีมันจาโรเมื่อสามสิบปีก่อน>>ที่มีน้ำแข็งปกคลุมบนยอดเขามากมาย กับภาพปัจจุบันที่มีน้ำแข็งเหลือน้อยมาก >>จนนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ถึงสิบปีเทือกเขาแห่งนี้จะไม่มีน้ำแข็งอีกต่อไป>>>>ธารน้ำแข็งตามเทือกเขาต่างๆ ที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว >>ตั้งแต่เทือกเขาแอนดิสในอาร์เจนตินา ชิลี>>ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์ และเทือกเขาหิมาลัย >>น้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 7 สาย >>แต่อีกไม่ถึงห้าสิบปี >>ประชากรที่พึ่งพิงแหล่งน้ำเหล่านี้จะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำจืดอย่างรุนแรง>>>>อัล กอร์ >>ได้นำภาพเส้นกราฟแสดงอุณหภูมิที่สูงขึ้นแผ่กระจายไปตามเมืองใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน >>ในปี ค.ศ.2003 คลื่นความร้อนได้ทำให้คนในยุโรปตายไปถึง 35,000 คน >>อุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้น และเกิดพายุรุนแรงและถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น >>เฮอร์ริเคน ไซโคลน >>หลายร้อยลูกที่พัดกระหน่ำชายฝั่งทั่วโลกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน >>โดยเฉพาะพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่พัดกระหน่ำเมืองนิวออร์ลีนส์ในเดือนสิงหาคม >>2005 สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์มีคนตายกว่า 2 พันคน >>และทรัพย์สินเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ>>>>ข้อมูลที่สำคัญคือภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา>>ขั้วโลกเหนือ และเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งหากน้ำแข็งละลายหมด >>ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงถึง 6 เมตร >>อดีตรองประธานาธิบดีได้ใช้กราฟแสดงให้เห็นว่า >>สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นคือ >>ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว >>ใส่ลูกเล่นในการนำเสนอเรื่องโดยนำเอารถเครนมายกตัวเองขึ้นตามเส้นกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา>>>>แน่นอนว่า หากถึงเวลานั้น กรุงเทพฯ นิวยอร์ก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ >>จมน้ำไปครึ่งหนึ่ง บังกลาเทศอาจหายไปจากแผนที่โลก >>และประชากรนับพันล้านคนจะไม่มีที่อาศัย>>>> โลกร้อน เรื่องจริงหรือนิยาย>>>>อย่างไรก็ตาม ภาวะโลกร้อน ยังคงเป็นข้อถกเถียงว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ >>โดยสารคดีได้บอกถึง>>ความพยายามของ บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ที่พยายามทำให้คนทั่วไปเชื่อว่า >>โลกร้อนเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นจริง >>และเมื่อเป็นแค่ทฤษฎีก็ไม่ต้องเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงเสมอไป >>ถึงตอนนี้หนังได้นำเอาภาพการ์ตูน ที่เปรียบเทียบ >>กบกำลังลอยอยู่ในหม้อหุงต้มที่กำลังเปิดเตาแก๊ส ตอนที่หม้อยังไม่ร้อน >>กบก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อน้ำร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเดือดปุดๆ >>กว่ากบจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว>>>> อัล กอร์ พยายามจะบอกว่า โลกร้อน เป็นเรื่องของผลกระทบระยะยาว >> ไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเห็นผล >> แต่เมื่อปรากฏผลแล้วก็สายเกินแก้ สารคดีจบลงด้วยคำถาม >> ถึงเวลาหรือยังที่เราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน >> ซึ่งคำถามจึงย้อนกลับมาที่ประเทศไทยว่า >> เราพร้อมหรือตระหนักแค่ไหนกับภาวะโลกร้อน >> "เราจะเป็นกบที่ลอยในหม้อหุงต้มที่เมื่อรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว >> หรือจะช่วยกันป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป">>>> คำถามเหล่านี้ถูกไขข้อสงสัย หลังจบสารคดี ภาควิชาฟิสิกส์ >> คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำผู้รู้นักคิดมาช่วยกันถกเถียง >> เพื่อย้อนกลับมาดูตัวเอง ประเทศไทยพร้อมแค่ไหนกับภาวะโลกร้อนขึ้น >> มีสัญญาณอะไรที่เตือนภัย ได้ว่า โลกร้อนขึ้นไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี >> หากเป็นเรื่องจริงที่ต้องระมัดระวัง>>>> รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยาบอกว่า >> สัญญาณอันตรายเริ่มเกิดขึ้นแล้ว >> โดยจากการศึกษาระดับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกประเทศไทยได้รับผลกระทบแน่นอน >> โดยจะเกิดภูมิอากาศแปรปวนของฤดูกาล ในช่วงฤดูฝน 6 เดือน >> จะมีปริมาณฝนตกเยอะขึ้นและจะมีอุทกภัยเพิ่มขึ้นทุก 20% >> ต่อปีซึ่งในปีนี้เริ่มเห็นแล้วว่า เรามีอุทกภัยมากขึ้น ส่วนฤดูหนาว >> ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านเข้ามาจะทำให้หนาวจัดในบางปี >> และในช่วงนั้นจะเกิดฝนตกหนักในภาคใต้อีกด้วย>>>> "อ่าวไทย ฝั่งตะวันออก ฝนจะตกมากในช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์>>ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติและจะทำให้มีผลต่อพืชผลทางการเกษตรในอนาคต">>>> รศ.ดร.ธนวัฒน์ บอกว่า ไม่เพียงฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น>>ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน >>โดยเฉพาะพายุไต้ฝุ่นเช่น>>เดิมมีพายุไต้ฝุ่น 2.8 ลูกต่อปี แต่ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 ลูกต่อปี>>ซึ่งในส่วนอ่าวไทยเดิมพายุไต้ฝุ่นเคยพัดผ่านประเทศเวียดนามก่อนที่จะเริ่มอ่อนตัวลงในช่วงที่พัดเข้าไทย>>โดยจะมีพายุที่พัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรง 3-5 ปีต่อ ลูก แต่ในอนาคต>>พายุไต้ฝุ่นจะพัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรงไม่ผ่านเวียดนาม และอาจจะเกิดขึ้น 1-2>>ปีต่อลูก ซึ่งจะทำให้มีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนฤดูร้อนจะร้อนเร็วขึ้น>>ร้อนนานขึ้น และอุณหภูมิสูงขึ้นและยังพบว่าในอีก 10>>ปีข้างหน้าจะมีฟ้าผ่ามากขึ้นในช่วงพายุฤดูร้อน>>>> ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่เริ่มเกิดขึ้นแล้วในไทย >> โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน >> ซึ่งในเรื่องนี้ได้รับการยืนยัน จาก จรูญ เลาหเลิศชัย นักอุตุนิยมวิทยา 8>>>>กรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่า จากการเฝ้าดูอากาศพบว่า >>ผลกระทบจากโลกร้อนเกิดขึ้นแล้ว โดยพบว่าพายุมีความรุนแรงมากขึ้น >>ถี่ขึ้นแน่นอน ซึ่งที่น่าสังเกตคือ>>>>ทะเลระดับต่ำกว่า 40 เมตรอย่างอ่าวไทยไม่น่าจะเกิดพายุได้>>เพราะพายุจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อทะเลมีระดับความลึก 50 เมตร >>แต่ปัจจุบันอ่าวไทยเริ่มมีพายุเกิดขึ้นแล้ว>>>>ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เพียงมีพายุเป็นสัญญาณเตือนเท่านั้น>>วราวุธ ขันติยานันท์ ผู้อำนวยการส่วนฝนหลวง>>สำนักฝนหลวงและการบินยังบอกเช่นกันว่าตลอดระยะเวลาของการทำฝนหลวงมานานกว่า 30 >>ปี พบว่า การรวมตัวของเมฆเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะมีรูปร่างไม่แตกต่างจากเดิม>>>>แต่ความแข็งแรงของน้อยลง เพราะเดิมฐานเมฆจะมีความหนาแน่น>>เพื่อควบคุมอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในก้อนเมฆไม่ให้ฝนตกเร็วเกินไป>>แต่ปัจจุบันจะพบว่า เมฆเริ่มอ่อนแอ >>รวมกลุ่มเร็วขึ้นและฝนตกกระจายค่อนข้างเร็วแล้วก็หายไป เรียกว่า>>ก้อนเมฆไม่มีความสมดุล ทำให้ลักษณะของฝนตกแบบพรมๆ แล้วหายไป บางแห่งตกหนัก>>>>ส่วนในระดับใต้ทะเลลึกก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน โดย>>ผศ.ดร.ปราโมทย์ โศจิกร ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล บอกว่า >>อ่าวไทยเป็นทะเลบริเวณที่เรียกว่าเส้นศูนย์สูตร>>เป็นทะเลปิดอยู่นอกเขตการไหลของน้ำมหาสมุทร >>ทำให้ทิศทางการไหลของน้ำจึงขึ้นอยู่กับกระแสลมเป็นหลัก>>ซึ่งอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น กระทบต่อปะการังใต้น้ำแน่นอนหากอุณหภูมิสูงเกิน 33 >>องศา ทำให้เกิดปะการังฟอกขาว ซึ่งเริ่มมีปรากฏการณ์ให้เห็นแล้วในอ่าวไทย >>ที่ปะการังจำนวนไม่น้อยเริ่มฟอกขาวจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น>>>>ปะการังเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอาศัยอยู่ในทะเลตามโขดหิน >>แท้จริงแล้วสีของปะการังเกิดจากสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง >>คือสาหร่ายทะเลขนาดเล็กที่มีชีวิตอยู่ร่วมกับปะการังแบบพึ่งพาอาศัยกัน >>สาหร่ายเหล่านี้มีความไวต่ออุณหภูมิน้ำทะเลมาก >>เพียงอุณหภูมิสูงขึ้นหนึ่งองศาเซลเซียส สาหร่ายจะหยุดสังเคราะห์แสงและตายไป >>สีของปะการังจึงดูซีดขาว>>>>>>ถึงแม้จะมีภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดหลายเรื่องที่นำเสนอภัยพิบัติทางธรรมชาติ>>โดยเฉพาะเรื่อง The Day After Tomorrow และ The Core>>แต่ทั้งหมดนั้นยังอิงความเป็นดราม่ามากกว่า "ข้อเท็จจริง" แต่สำหรับ An >>Inconvenient Truth>>เป็นภาพยนตร์ที่นำเอารายงานข่าวหายนะภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลกผสมกับข้อมูลจริงเชิงอุตุนิยมวิทยาที่ไม่อาจปฏิเสธได้>>>> ข่าวดีก็คือ มนุษยชาติสามารถแก้ปัญหานี้ได้ >> และเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องทำ>>เพียงแค่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตบ้างเล็กน้อยในแต่ละวันจะช่วยเพิ่มพูนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อหยุดภาวะโลกร้อน >>ถึงเวลาแล้วที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหาตั้งแต่วันนี้>>>>--------------->>10 วิธีแก้ปัญหาโลกร้อน ง่ายๆ ทำได้ทุกคน>>เปลี่ยนหลอดไฟ จากหลอดกลมหันมาใช้หลอดตะเกียบแทน >>เชื่อไหมว่าลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี>>>>ขับรถน้อยลง หันมาเดิน ขี่จักรยาน บริการขนส่งมวลชน หรือเลือกติดรถเพื่อน >>ทางเดียวกันไปด้วยกัน แค่นี้>>ก็สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ปอนด์ทุกๆ 1 ไมล์ที่เราลดการขับขี่>>>>รีไซเคิลของให้มากขึ้น >>แค่รีไซเคิลขยะในบ้านเพียงครึ่งหนึ่งก็ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,400 >>ปอนด์ต่อปี>>>>เช็คลมยาง รักษาระดับลมยางให้เหมาะสม ช่วยประหยัดการใช้น้ำมันได้ถึง 3% >>และการประหยัดน้ำมันในทุกๆ แกลลอน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้ >>20 ปอนด์>>>>ใช้น้ำร้อนน้อยลง เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ละครั้งใช้พลังงานจำนวนมาก >>อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นน้อยลง>>และอย่าเปิดฝักบัวแรงสุด ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 350 ปอนด์

No comments: