Monday, May 21, 2007

บทเรียนจากความรักและความเชื่อมั่น

ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยแรงกระตุ้นจากเพื่อนฝูงรอบข้าง
ฉันเป็นอดีตครูสอนดนตรีในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งซึ่ง
ชอบหารายได้พิเศษจากการสอนให้นักเรียนที่สนใจเรียนเปียโน
ฉันมีประสบการณ์มากมายจากนักเรียนพิเศษเหล่านั้น
และร็อบบี้ก็เป็นเด็กคนหนึ่งในนั้นที่ฉันจะนำมาเล่าให้ฟัง
ฉันพบร็อบบี้เป็นครั้งแรกเมื่อแม่ของเขาส่งมาให้เรียนเปียโน
ร็อบบี้เป็นเด็กชายอายุ 11 ปี ซึ่งความจริงแล้วเขาอายุมากเกินไป
ที่จะเริ่มต้นเรียนเปียโนกับฉัน เพราะฉันก็พยายามอธิบายให้ร็อบบี้ฟัง
แต่เขาก็ยังคงยืนยันที่จะเรียนให้ได้ ร็อบบี้บอกฉันว่า
แม่ของเขาซึ่งเลี้ยงลูกชายคนเดียวด้วยตัวเองตามลำพัง

มีความใฝ่ฝันเหลือเกินที่จะได้ยินลูกชายเล่นเปียโนให้ฟังสักครั้งในชีวิต
อย่างไรก็ดี ร็อบบี้ก็ได้เรียนเปียโนกับฉันจนได้
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเริ่มเรียน
ฉันก็รู้สึกได้ทันทีว่าเด็กชายคนนี้ไม่มีพรสวรรค์ทางดนตรีเอาเสียเลย
ยิ่งเขาพยายามมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดถึงการไร้ความสามารถ
และไร้พื้นฐานทางด้านดนตรีโดยสิ้นเชิง

แต่เขาเองก็พยายามที่จะทบทวนบทเรียนขั้นพื้นฐานที่ฉันบังคับ
ให้นักเรียนทุกคนฝึกฝนอยู่เสมอ
ฉันพยายามแล้วพยายามอีกที่จะให้เขาพัฒนาฝีมือขึ้นมา
แต่ช่างดูเหมือนกับแทบจะหมดความหมายเอาเสียจริง ๆ ทุก ๆ
สุดสัปดาห์ที่สิ้นสุดการเรียน ร็อบบี้จะพูดเสมอ ๆ ว่า
“สักวันหนึ่งแม่ผมจะต้องได้ฟังผมเล่นเปียโน”
ฉันไม่เคยได้พูดคุยกับแม่ของเขาเลย
แค่เคยเห็นเธอมาส่งร็อบบี้เรียนเปียโน
แล้วเธอก็นั่งรออยู่ในรถเก่า ๆ ของเธอ
แม่ของร็อบบี้จะเพียงแค่ส่งยิ้มและโบกมือให้ฉัน
แต่เธอไม่เคยแวะเข้ามาสักครั้งเดียว

แล้ววันหนึ่ง ร็อบบี้ก็ไม่ได้มาเข้าเรียนอีก
ฉันคิดว่าจะโทรศัพท์ไปถามข่าวคราวของเขา แต่ก็กลับมาคิดว่า
คงเป็นเพราะร็อบบี้เริ่มรู้ตัวเองว่าไม่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีแน่ ๆแล้ว
จึงตัดสินใจหยุดเรียนไปเสียเฉย ๆ
ฉันเองยังแอบดีใจที่เขาหยุดเรียนไปเสียได้
เพราะเขาคงไม่ใช่นักเรียนตัวอย่างที่ดีที่ฉันสามารถอวดใคร ๆ ได้เลย

หลายสัปดาห์ผ่านไป
ฉันส่งใบปลิวไปยังบ้านบรรดาศิษย์ที่เคยเรียนเปียโนกับฉัน
เพื่อให้มาร่วมงานแสดงเดี่ยวเปียโนของลูกศิษย์รุ่นปัจจุบัน
และฉันก็ต้องประหลาดใจ เมื่อร็อบบี้ซึ่งได้รับใบปลิวด้วย
ได้มาขออนุญาตฉันเข้าร่วมเดี่ยวเปียโน ฉันแย้งไปว่า
นี่เป็นการแสดงของศิษย์ปัจจุบันเท่านั้น ร็อบบี้ได้หยุดเรียนไปนานแล้ว
ฉันคงไม่สามารถให้เข้าร่วมแสดงด้วยได้
ร็อบบี้บอกว่าเพราะแม่ล้มป่วยจึงไม่สามารถพาเขามาส่งให้เรียนเปียโนได้
แต่เขาก็ได้ฝึกซ้อมเปียโนอยู่สม่ำเสมอทุกวัน “ครูครับ
ผมจะต้องเล่นเปียโนในคืนนั้นให้ได้” เขายืนยัน
ไม่รู้ว่าอะไรกันที่ดลใจให้ฉันยอมให้ร็อบบี้ขึ้นแสดงในวันงาน
อาจจะเป็นเพราะความมุ่งมั่นของเขา

หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะบางส่งบางอย่างข้างในที่บอกฉันว่า
ทุกสิ่งจะต้องเป็นไปด้วยดี

เมื่อคืนวันงานมาถึง
ยิมเนเซียมของโรงเรียนมัธยมที่ฉันใช้เป็นห้องแสดงดนตรีนั้น
แน่นขนัดไปด้วยผู้ปกครอง เพื่อนฝูงและญาติพี่น้องของบรรดานักแสดงเปียโน
ฉันให้ร็อบบี้แสดงในช่วงหลังสุด
ก่อนที่ฉันจะต้องออกมากล่าวขอบคุณและเล่นโชว์เองในชุดสุดท้าย
ฉันคิดว่าหากเขาเกิดทำสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา ฉันจะได้รีบออกมากู้หน้า
เพื่อกล่าวขอบคุณและปิดการแสดงเสียเลย
ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบร้อย
นักเรียนทุกคนต่างฝึกฝนกันมาอย่างดี และแสดงออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ
และแล้วก็มาถึงช่วงการแสดงของร็อบบี้ เมื่อเขาขึ้นมาบนเวที
เสื้อผ้าของเขายับย่นยู่ยี่ ผมเผ้าก็ไม่ได้หวี ดูกระเซอะกระเซิงไปหมด
ฉันคิดในใจว่า ตายละทำไมแม่ของเขาไม่ดูแลลูกเลย
ทำไมไม่ให้ลูกแต่งตัวเต็มที่เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ทั้ง ๆ
ที่คืนนี้เป็นคืนพิเศษแท้ ๆ
อย่างน้อยก็น่าจะหวีผมเขาให้ดูดีกว่านี้สักหน่อย
ร็อบบี้ดึงม้านั่งเล่นเปียโนออกมาเริ่มต้น
ฉันประหลาดใจมากที่เขาประกาศกับผู้ชมว่า
เขาเลือกที่จะแสดงคอนแชร์โตหมายเลข 21 ของโมสาร์ท ในซีเมเจอร์
ฉันยังไม่ทันได้เตรียมตัวว่าจะต้องฟังอะไรต่อไป
นิ้วของร็อบบี้ก็พรมแผ่วพริ้วไปบนคีย์เปียโน
ราวกับว่านิ้วของเขากำลังเต้นระบำอย่างคล่องแคล่วอยู่บนนั้น
ไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย ช่างน่ามหัศจรรย์อะไรอย่างนี้
ฉันยังไม่เคยเห็นเด็กชายวัยเท่าร็อบบี้
จะสามารถเล่นเพลงของโมสาร์ทได้ดีเยี่ยมขนาดนี้มาก่อนเลย
เมื่อเวลาหกนาทีครึ่งผ่านไป การแสดงของร็อบบี้ก็สิ้นสุดลง
ผู้คนทุกคนต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้เขาจนเสียงดังสนั่นไปทั้งห้อง
ฉันวิ่งขึ้นไปบนเวทีทั้งน้ำตาคลอโอบกอดร็อบบี้ไว้ด้วยความปลาบปลื้ม
“ครูไม่เคยได้ยินเธอเล่นได้ดีขนาดนี้มาก่อนเลยร็อบบี้
เธอทำได้อย่างไรกัน”
ร็อบบี้ตอบฉันผ่านไมโครโฟนออกไปว่า “จำได้ไหมครับครู
ที่ผมเคยบอกว่าแม่ของผมป่วย แม่ผมป่วยด้วยโรคมะเร็ง
และแม่ก็จากผมไปแล้วเมื่อเช้านี้เอง และความจริงก็คือ
แม่ผมเป็นใบ้หูหนวกมาตั้งแต่เกิด
ดังนั้นคืนนี้จึงเป็นคืนแรกที่แม่จะสามารถได้ยินผมเล่นเปียโน
ผมจึงต้องการทำให้มันพิเศษสุดจริง ๆ สำหรับแม่”
ไม่มีดวงตาคู่ไหนเลยที่จะไม่มีน้ำตาในคืนนั้น
แม้แต่เจ้าหน้าที่จากบ้านเด็กกำพร้าที่มารับร็อบบี้ไปดูแล
ก็ยังมีนัยน์ตาบวมแดงให้ฉันสังเกตเห็น

ฉันไม่เคยได้รับแรงกระตุ้นผลักดันใด ๆ มาก่อนเลย
แต่ในคืนนั้นฉันก็ได้รับจากเขา
ร็อบบี้ต่างหากที่เป็นครูและฉันเองเป็นนักเรียน

ที่สอนให้ฉันได้รู้ความหมายของความเพียรพยายาม...
ความรัก...ความเชื่อมั่นในตัวเองและอาจจะรวมถึงการให้โอกาสใครสักคน
โดยที่เราเองก็ไม่รู้ว่าทำไม

ร็อบบี้เสียชีวิตลงแล้วในการระเบิดที่โอกลาโฮมาซิตี้
เมื่อเดือนเมษายน 1995

No comments: