Tuesday, October 31, 2006

เคล็ดลับขับรถลุยน้ำท่ววม

แนะเคล็ดลับขับรถลุยนำท่วม ...เอามาฝาก

ข้อแรก ถ้าไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ต้องกลัวว่า
รถจะดับหรือปล่าว หรือจะมีปัญหาอะไรตามมา เช่น น้ำจะเข้ารถหรือปล่าว
แล้วจะเกิดผลเสียต่ออุปกรณ์อื่น ๆ หรือไม่
แต่ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราควรทำอย่างไรดีละ

ข้อ 1 คือ ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด ในขณะขับรถลุยน้ำลึก หรือแม้จะน้ำตื้นก็ตาม
เพราะ สาเหตุที่รถดับ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปิดแอร์แล้วขับลุยน้ำ
ที่ผมบอกอย่างนี้ ก็เพราะว่า เมื่อเราเปิดแอร์ พัดลมจะทำงาน และอย่าลืมสิครับ
ว่าเรากำลังลุยน้ำลึก อย่างที่ผมเจอวันนี้ ก็คิดว่า น่าจะเกินระดับพัดลม
เพราะฉะนั้น ถ้าเราขืนเปิดพัดลมละก็ สิ่งที่จะตามมาคือ
ใบพัดจะพัดให้น้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง แล้วคุณลองคิดดูว่า อะไรจะเกิดขึ้น
นั่นก็คือ เครื่องจะดับเอาง่าย ๆ

หรือ ถ้าโชคดี หรือโชคร้าย ถ้าเครื่องไม่ดับ ใบพัดก็จะหมุน ๆ ซึ่ง
เราก็ไม่รู้หรอกว่า ขณะที่เราลุยน้ำ อะไรมันจะลอยมาบ้าง มันมีสารพัด
ไม่ว่าจะเป็น ขยะ กิ่งไม้ ไม้หน้าสาม ถุงพลาสติก รองเท้า ซึ่ง สิ่งของพวกนี้
มันมีโอกาสที่จะเข้ามาในห้องเครื่องแล้วโดนใบพัดตัดจนใบพัดหัก
ซึ่งถ้าใบพัดหัก แน่นอนว่า เราขับรถต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน
เพราะระบบระบายความร้อนจะมีปัญหา

ข้อ 2 ควรใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ก็ใช้ประมาณเกียร์ 2 หรือสำหรับออโต้
ก็ใช้เกียร์ L ก็ได้ครับ รวมถึงการขับขี่ที่มีความเร็วต่ำที่สุด
เท่าที่จะเป็นไปได้ และควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ อย่าหยุดอย่าเร่งความเร็วขึ้น


ข้อ 3 คือ ไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูง ๆ เพราะเห็นผู้ขับขี่หลาย ๆ คนมักจะ
เร่งเครื่องแรง ๆ เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะกลัวเครื่องดับ
เพราะกลัวน้ำเข้าท่อไอเสีย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆ
แท้ที่จริงแล้ว การเร่งเครื่อง ยิ่งทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้น
เมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงาน
และสิ่งที่จะตามมาก็เหมือนกับข้อ 1 ครับ
ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสียครับ เพราะต่อให้น้ำจะท่วมท่อไอเสีย
แล้วคุณสตาร์ทรถอยู่ที่รอบเดินเบา
แรงดันที่ออกมาเพียงพอที่จะดันน้ำออกมาอย่างสบาย ๆ

ต่อให้คุณจอดรถทิ้งไว้จนน้ำท่วมท่อไอเสียก็ตาม เมื่อคุณเข้าไปในรถ แล้วสตาร์ทรถ
ผมกล้าพูดได้เลย ทีเดียวติดครับ (กรณีนี้ ที่ผมกล้าพูดว่า รถสามารถสตาร์ทติด
คือ น้ำท่วม แค่ท่วมท่อไอเสียนะครับ ไม่ใช่ท่วมฝากระโปรงนะครับ) แต่
สำหรับรถคาบู ผมเองก็ไม่แน่ใจนะครับ ว่าถ้าถึงขั้น น้ำท่วมท่อไอเสียแล้วมันจะสตาร์ทติดหรือไม่ แต่สำหรับเครื่องหัวฉีด
สบายใจได้ครับ


4. ควรลดความเร็วลง เมื่อ กำลังจะขับรถสวนกับอีกคันที่กำลังขับมา
เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น อย่างที่ผมบอก
ซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมา
มันก็อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้
หลังจากเราลุยน้ำลึกมา สิ่งที่ควรทำต่อ ก็คือ

ข้อแรก พยายาม ย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำ เพราะในช่วงแรก ๆ หลังจากการลุยน้ำลึกมา
มันจะเบรกไม่อยู่ และเป็นอันตรายมาก
ถ้าเราไม่ทำการย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก

สำหรับ เกียร์ธรรมดา ต้องมีการย้ำคลัชเช่นเดียวกับการย้ำเบรก
เพราะหลังการลุยน้ำมา อาจมีปัญหาคลัชลื่น จึงต้องทำทั้งย้ำคลัชและย้ำเบรก

อีกข้อนึงคือ ไม่ควรดับเครื่องทันที ถึงแม้ถึงจุดหมายก็ตาม
เพราะอาจมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ซึ่งควรสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก
ซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีไอออกจากท่อไอเสีย ก็ไม่ต้องตกใจครับ
ก็สตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้น้ำในหม้อพักมันระเหยออกไป เพราะ
ถ้าไม่ทำอย่างนี้ จะทำให้เกิดน้ำค้างอยู่ในหม้อพัก สิ่งที่จะตามมาคือ มันจะผุ

และหลังจากวันที่เราลุยน้ำมาแล้ว เราควรจะทำอย่างไร ไปดูกันต่อค่ะ !!!

1. ล้างรถ รวมถึง การฉีดน้ำเข้าไปในบริเวณใต้ท้องรถด้วย
รวมทั้งบริเวณซุ้มล้อ เพื่อล้างพวกเศษทรายต่าง ๆ ที่มันเกาะติดอยู่ หรือ
บริเวณใต้ท้องรถ ซึ่งอาจมีพวกเศษขยะ เศษหญ้า ติดอยู่ ต้องเอาออกให้หมด
เพราะถ้าเศษหญ้าแห้งมันติดอยู่ใต้รถ อันตรายที่จะเกิดขึ้น มันใหญ่หลวงนัก
หนัก ๆ หน่อย ไฟอาจไหม้ได้

ในคู่มือยังบอกเลยครับว่า รถที่ติดตั้งตัวกรองไอเสีย หรือ (CAT)
ไม่ควรจอดรถไว้บริเวณที่มีต้นหญ้าขึ้นสูง เพราะอุณหภูมิของเจ้า
Catalytic Converter นั้น มันค่อนข้างสูงมาก ๆ

2. สำรวจน้ำมันเกียร์ ว่า มันมีสีผิดปกติหรือไม่ คือ
ถ้ามีลักษณะคล้ายสี ชาเย็น นั่นแสดงว่า
ต้องมีน้ำเข้าไปอยู่ในระบบเกียร์อย่างแน่นอน หรือถ้าเป็นไปได้
ก็เปลี่ยนน้ำมันเกียร์มันซะเลย เพื่อความสบายใจ
เพราะก้านวัดน้ำมันเกียร์นั้นอยู่ค่อนข้างต่ำ และยิ่งรถผ่านการลุยน้ำลึก ๆ มา
มันก็จะท่วมตัวเจ้าก้านวัด ซึ่งเป็นไปได้ที่น้ำจะซึมเข้าไปในระบบเกียร์
และมันก็จะทำให้ระบบเกียร์พัง

3. เช็คลูกปืนล้อ ซึ่ง พูดง่าย ๆ ว่า เจอน้ำทีไร
ลูกปืนล้อมันก็จะดัง เวลาวิ่งความเร็วสูง ๆ อันนี้ทำใจไว้ได้เลย ว่า
อาจต้องเปลี่ยน แต่ โดยปกติแล้ว เจ้าลูกปืนล้อมันจะพังเร็ว ก็เพราะสาเหตุที่ว่า
จอดแช่น้ำมากกว่า แต่ถ้าวิ่งผ่านน้ำ โดยปกติ จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
แต่ถ้าแช่น้ำเมื่อไหร่ละก็ เตรียมตัวเสียเงินได้เลย

4. ตรวจสอบ พื้นพรมในรถ ว่า เปียกชื้นหรือไม่ เพราะ
หลังการลุยน้ำลึกมา มีโอกาสมากที่น้ำจะซึมเข้ามาภายในห้องโดยสาร
เพราะฉะนั้น ต้องเปิดผ้ายาง เปิดพรม เอามือ กดแรง ๆ ดู
หรือลองเอากระดาษซับดูว่ามีน้ำอยู่หรือปล่าว

ถ้ามีน้ำขังอยู่ภายในห้องโดยสาร ผมคิดว่า น่าจะถึงเวลารื้อพรมกันเลยละครับ
เพื่อป้องกันปัญหาตามมา เพราะถ้าคุณไม่รื้อพรม แต่คุณอาจแค่เพียง เอาผ้าซับ ๆ
ให้พื้นแห้ง แล้วจอดตากแดด จริง ๆแล้ว มันก็แห้งเหมือนกัน แต่
สิ่งที่คุณไม่เห็นก็คือ สิ่งสกปรกที่มันยังค้างอยู่ในรถของคุณ
ซึ่งคุณก็น่าจะรู้ว่า น้ำมันมีเชื้อโรคสารพัด แล้วเมื่อมันแห้ง
มันก็จะแพร่เชื้อและเป็นเชื้อราอยู่ในพรม สิ่งที่อยากบอกต่อคือ นอกจากนี้

ในรถยังมีระบบปรับอากาศ
ที่มันจะเป็นตัวช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ
ได้เป็นอย่างดี แล้วมันก็จะหมุนเวียน กลับไปกลับมา อยู่ในรถของคุณ
นั่นก็เป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ เพราะคุณก็สูดเอาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าไปตลอดเวลา
จะว่าไปแล้ว รถสมัยนี้ค่อนข้างออกแบบมาดี ลุยน้ำไม่ค่อยดับกันหรอกครับ

ถ้าทำอย่างที่ผมบอกนะครับ ผมว่า จากสายตา วันนี้ผมลุยน้ำลึกไม่น่าต่ำกว่า 50 ซม
เพราะรถรุ่นใหม่ ๆ จะย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะเจ้า ECU
ไว้ในตำแหน่งที่สูง พูดง่าย ๆ ว่า อยู่ในรถกันเลยหละ รวมถึงกล่องฟิวส์ต่าง ๆ
ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง เพื่อป้องกันน้ำท่วมนี่เหละครับ

โสภณ สุภาพงษ์ เพียงทำหน้าที่มนุษย์

a day with a view 64
ทรงกลด บางยี่ขัน > เรื่อง
โสภณ สุภาพงษ์
เพียงทำหน้าที่มนุษย์

เรื่องราวของปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในมุมที่อาจจะไม่เคยรู้ แต่ควรต้องรู้

โสภณ สุภาพงษ์ ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ เมื่อปีพ.ศ. 2541 คำประกาศรางวัล
ส่วนหนึ่งอธิบายว่า ‘เขาคือคนที่ช่วยเหลือผู้ยากไร้โดยที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา และทำโดยไม่ได้หวังให้ผู้อื่นรู้’ นั่นทำให้เขาถูกเรียกว่า ‘นักธุรกิจแมกไซไซ’
เขาได้รับพระราชทานรางวัลบุคคลดีเด่นแห่งชาติ สาขาพัฒนาเศรษฐกิจ ปีพ.ศ. 2539
เขาคือผู้ปลุกปั้นกิจการน้ำมันบางจาก จากโรงกลั่นและปั๊มน้ำมันปลายแถวที่ขาดทุนจนกลายมาเป็นธุรกิจน้ำมันที่มีกำไร พร้อมๆ กับสร้างจุดยืนซึ่งแข็งแรงมากในด้านสิ่งแวดล้อม สนับสนุนวิถีผลิตแบบชุมชน เศรษฐกิจพอเพียง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่น (ในความหมายของชาวบ้านจริงๆ ) เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ
เขาเคยเป็นและเป็นประธาน กรรมการ ผู้บริหาร บริษัทด้านการเงินการธนาคาร การก่อสร้าง การบินไทย การทางพิเศษ รถไฟฟ้า และรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง รวมทั้งเคยเป็นรองผู้ว่าปตท. เมื่ออายุแค่ 33 ปี
เขาเคยอยู่ในคณะกรรมการนโยบายน้ำมัน และนโยบายพัฒนาเกี่ยวกับชนบทของพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ และนายกรัฐมนตรีหลายท่าน
เขาคือสมาชิกวุฒิสภาและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีหลายสมัย
เขาคือหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง ปีพ.ศ. 2538
เขาเป็นอนุกรรมการในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้รับผิดชอบโดยตรงกับการตรวจสอบกรณีผู้ถูกอุ้มฆ่า สูญหาย บาดเจ็บ ทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เขาเป็นกรรมาธิการวุฒิสภาสอบสวนการสูญหายของคุณสมชาย นีละไพจิตร ทนายความที่ช่วยทำคดีให้ชาวบ้านที่ถูกฟ้องร้องอย่างไม่เป็นธรรม
เขาทำงานร่วมกับสภาทนายความ ชมรมทนาย เพื่อเข้าไปดูแลคดีความเพื่อให้เกิดความยุติธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เขาเป็นหนึ่งในกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ
2 ปีก่อน เขาเริ่มลงไปช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียในหมู่บ้านบริเวณพื้นที่อันตรายของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยหน้าที่ของมนุษย์ที่พึงมีต่อมนุษย์
และสิ่งที่เขากำลังจะเล่าต่อไปนี้ คือข้อมูลจริงอีกด้านจากในพื้นที่ ซึ่งคนนอกพื้นที่อาจไม่เคยรู้
แต่ควรต้องรู้



เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าพูดโดยสรุปที่สุดก็คือ เหตุรุนแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นจาก 2 ฝ่ายคือฝ่ายเจ้าหน้าที่บางคนที่ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยอุ้มฆ่าชาวบ้านที่บริสุทธิ์ และโจรไม่กี่ร้อยคนที่เราไม่รู้จักได้ฆ่าชาวบ้านบริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยมรายวัน คนร้าย 2 ฝ่ายนี้ปนอยู่กับชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เกือบ 2 ล้านคนที่กำลังหวาดกลัวทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่เสียสละ กลุ่มขบวนการแยกดินแดนในอดีตซึ่งมีอายุมากแค่ไม่กี่คน และวัยรุ่นที่กลายมาเป็นแนวร่วมของโจร เนื่องจากคับแค้นใจที่ญาติพี่น้องถูกตั้งศาลเตี้ยอุ้มฆ่ามากขึ้นทุกวัน ถ้าปราบพวกตั้งศาลเตี้ยได้ แนวร่วมโจรก็จะหมดไป ชาวบ้านก็จะศรัทธาและกล้าบอกเจ้าหน้าที่รัฐว่าใครคือพวกตั้งศาลเตี้ย ใครคือโจร
ก็จะทำให้ปราบโจรได้เหมือนเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้
วันนี้รัฐบาลยังไม่รู้จักแกนนำโจร ไม่รู้จักโครงข่ายขบวนการที่แท้จริง แต่เรารู้ว่าไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องศาสนา ไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องการแบ่งแยกดินแดน และยังไม่มีองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติใดเข้ามาปฏิบัติการ อาจมีในระดับเพื่อนที่เคยฝึกรบร่วมกันในต่างประเทศมาก่อน มีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปต่อไป มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นมากกว่า 3,000 ครั้งในรอบ 2 ปี แต่ยังจับผู้กระทำผิดไม่ได้ ในไม่ช้าก็จะพาไปสู่ความขัดแย้งทางศาสนา เชื้อชาติ และต่างประเทศในที่สุด

ถ้าจะทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราต้องไปเริ่มต้นกันที่ตรงไหน
คงต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ก่อนว่าคนไทยเชื้อสายมลายูอยู่บนแผ่นดินไทยมาก่อนไทยทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นไทยจีน ไทยมอญ ไทยลาว ไทยเขมร กรุงสุโขทัยสถาปนาขึ้นเมื่อ 900 ปีที่แล้ว แต่ไทยมลายูอยู่ที่ภาคใต้ของไทยมาตั้งแต่ 1,800 ปีที่แล้ว กินพื้นที่ไปถึงประเทศมาเลเซียในขณะนี้ทั้งหมด จากอ่าวสยามจรดฝั่งอันดามัน เป็นอาณาจักรมลายูที่เรียกว่า ลังกาสุกะ คนมลายูเมื่อ 1,800 ปีก่อนนับถือศาสนาฮินดู พราหมณ์ เปลี่ยนเป็นพุทธ และเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นอิสลามเมื่อ 500 ปีที่แล้ว เพราะสุลต่านเจ้าเมืองไม่สบาย มีหมอมุสลิมมารักษา
จนหาย เลยเลื่อมใสศาสนาอิสลาม อาณาจักรลังกาสุกะจึงเปลี่ยนเป็นปาตานีดารุสลาม
ในยุคกรุงศรีอยุธยา เราอยู่กันเป็นกลุ่มก๊กต่างๆ โดยส่งบรรณาการให้กรุงศรีอยุธยา พอกรุงแตก ก๊กต่างๆ ก็แตกออกจากกัน จนรัชกาลที่ 1 ยกทัพไปปราบก๊กต่างๆ หัวเมืองมลายู นครศรีธรรมราช และยกทัพมาตีปาตานีซึ่งเคยเป็นรัฐอิสระมาก่อน กวาดต้อนเชลย 4-5 พันคนมาไว้ที่พระประแดง บ้านครัว ฝั่งธนฯ ใช้เป็นทหารช่วยออกรบป้องกันกรุงรัตนโกสินทร์สมัยสงครามกับพม่าและเขมร ในยุคล่าอาณานิคมสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2452 อังกฤษก็เข้ามาเฉือนดินแดนกลันตัน ไทรบุรี ตรังกานู และปาลิส รวม 15,000 ตารางไมล์ เป็นของอังกฤษภายใต้ชื่อ บริติชมลายู ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียในปัจจุบัน ส่วนดินแดนมลายูที่เหลือคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตกลงให้เป็นของสยาม ตามทัศนคติของสยาม ประวัติศาสตร์ปัตตานีถือเป็นเรื่องขบถ แต่ในมุมมองของปัตตานีเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระ เพราะฉะนั้นพวกที่มีเชื้อราชวงศ์สุลต่านรัฐปัตตานีเดิมหรือกลุ่มบีอาร์เอ็นก็พยายามเรียกร้องขอเป็นอิสระ เพราะเชื้อสายเขาเคยเป็นอิสระมาก่อน

มีการปกครองดูแลดินแดน 3 จังหวัดหลังจากนั้นอย่างไร
ในปีพ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกำหนดพระบรมราโชบายสำหรับมณฑลปัตตานีไว้เป็นการเฉพาะ มีสาระสำคัญโดยย่อดังนี้
ข้อที่หนึ่ง ระเบียบหรือข้อปฏิบัติที่เป็นการเบียดเบียน กดขี่ ศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิกแก้ไขเสียทันที การใดยิ่งทำให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสดามูฮัมหมัดได้ยิ่งดี
ข้อที่สอง การกะเกณฑ์ใดๆ ต้องอย่าให้ยิ่งกว่าที่พลเมืองในแว่นแคว้นของต่างประเทศ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงติดต่อกัน
ข้อที่สาม การกดขี่บีบคั้น ดูแคลนพลเมืองชาติแขกโดยเจ้าพนักงานของรัฐบาล ต้องแก้ไขระมัดระวัง
มิให้มีขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องให้ผู้ทำผิดรับผลตามความผิด
ข้อที่สี่ กิจการใดต้องบังคับแก่ราษฎรต้องระวังอย่าให้ราษฎรขัดข้องเสียเวลา
ข้อที่ห้า ข้าราชการที่จะแต่งตั้งออกไป พึงเลือกเฟ้นแต่คนมีนิสัยซื่อสัตย์ สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็นไม่ใช่ส่งไปเป็นทางลงโทษเพราะเลว
ข้อที่หก การวางระเบียบการอย่างใดขึ้นใหม่ ในมณฑลปัตตานี อันจะเป็นทางพากพานถึงทุกข์สุขราษฎรก็ควรพิจารณาเหตุผลแก้ไขหรือยับยั้ง

นโยบายต่อภาคใต้ในสมัยรัฐบาลเผด็จการของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เปลี่ยนแปลงไปไหม
ในปีพ.ศ. 2482 จอมพลป. เปลี่ยนชื่อประเทศสยามที่พระราชทานโดยพระมหากษัตริย์มาเป็นประเทศไทย และบังคับวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ ในสยามให้เหมือนคนกรุงเทพฯ สั่งห้ามแต่งกายมุสลิม ห้ามใช้ภาษามลายู จำกัดวิถีชีวิตประจำวันตามศาสนาอิสลาม ล้มเลิกพระราโชบายที่รัชกาลที่ 6 ทรงกำหนดไว้
พอถึงยุคที่คุณปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกฯ เมื่อปีพ.ศ.2487 คุณปรีดีก็มองภาคใต้แบบเป็นเพื่อน คือจริงๆ แล้วคนไทยพุทธกับไทยมุสลิม เขาไม่ได้มีปัญหากัน ชาวบ้านเขารักกันมานมนาน คนจีนอาจจะมีลูกจ้างเป็นมุสลิม แต่เขาจะไม่ให้คนมุสลิมทำงานในครัว ถ้าไปปัตตานีจะเห็นคนจีนเปิดร้านขายเสื้อสำหรับใส่ทำละหมาด เจ้าของร้านเขาสอนเยาวชนมุสลิมได้เลยว่าผ้าอย่างนี้ละหมาดได้หรือไม่ได้ คือเขามีชีวิตอยู่ด้วยกัน
ถึงแตกต่างแต่ก็อยู่ด้วยกันได้ เคารพกัน ตอนนั้นคุณปรีดีก็พยายามสร้างความสมานฉันท์ในภาคใต้ มีการออกพ.ร.บ.อิสลาม ให้มีตำแหน่งจุฬาราชมนตรีขึ้นมาเพื่อถวายคำปรึกษาต่อในหลวงในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ที่เราไปเข้าใจว่าตำแหน่งนี้เป็นพระ ที่จริงเป็นคนปกติ เป็นตำแหน่งกึ่งทางการเมือง ไม่ใช่ตำแหน่งทางศาสนา
ไม่เหมือนอิหม่าม (ผู้นำประกอบพิธีทางศาสนา) หรือ โต๊ะครู (ผู้บอกเรื่องศาสนาและสอนตีความศาสนา) ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นท่ามกลางความยากลำบาก ฉะนั้นคำพูดทุกคำพูดมีเหตุ เช่น ที่พูดว่า คนนอกศาสนา
ในอดีตพวกเขาต้องต่อสู้กับคนนอกศาสนาที่ยกทัพมาฆ่า พวกเขาถึงเรียกคนพวกนี้ว่าคนนอกศาสนา ไม่ใช่ว่ามาใช้ในวันนี้แล้วหมายถึงทุกคนนอกศาสนาหมด เขาถึงต้องมีคนมาบอกว่าคำพูดนี้มันหมายถึงเหตุอะไร คนมุสลิมโดยทั่วไปเขาถึงเคารพเชื่อฟังอิหม่ามกับโต๊ะครูมากๆ

เหมือนว่าทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี แล้วปัญหาความไม่สงบในภาคใต้เริ่มต้นขึ้นจากอะไร
ต้นปีพ.ศ. 2491 หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ โต๊ะมีนา พ่อของคุณเด่น โต๊ะมีนา ได้ยื่นข้อเสนอกับทางรัฐบาลว่าภาคใต้ควรมีกฎหมายบริหารที่สอดคล้องกับศาสนาอิสลาม ที่ต้องการกฎหมายเฉพาะก็เพราะกฎหมายที่ใช้อยู่มันละเมิดความเชื่อทางศาสนา คนมุสลิมเขาก็ทุกข์มาก ถือเป็นความพยายามที่จะแก้ปัญหาภาคใต้ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย รัฐบาลของจอมพล ป. ซึ่งปฏิวัติเข้ามาในปลายปีพ.ศ.2490 ได้ปฏิเสธข้อเสนอเหล่านี้ แล้วหะยีสุหลงก็ถูกจับตัวไป คนไทยมลายูเลยมาชุมนุมกันที่นราธิวาสเพื่อเรียกร้องขอคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น จนกลายเป็นการปะทะกัน สุดท้ายจอมพล ป. ก็ใช้กำลังเข้าปราบปรามจนผู้ชุมนุม 400 กว่าคนเสียชีวิต เรียกว่า กบฏดุซงญอ ตอนนั้นมีคนไทยมลายูหลายพันคนอพยพหนีตายไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่ไปอยู่มาเลเซีย พอมีรายได้ก็ส่งเงินมาช่วยเพื่อน ช่วยครอบครัว ที่ทุกวันนี้เราเข้าใจว่ามาเลเซียส่งเงินมาให้นั้นไม่ใช่ เป็นคนที่หนีไปส่งกลับมาให้ ถ้าคนกลุ่มนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็คงมีอายุมากกว่า 70-80 ปี

การมีกฎหมายพิเศษที่ใช้เฉพาะ 3 จังหวัดนั้นเป็นไปได้จริงๆ หรือ
อเมริกามี 50 กว่ารัฐ กฎหมายยังต่างกันหมด รัฐนี้ทำอย่างนี้ผิด อีกรัฐไม่ผิด แต่เมืองไทยไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ คิดว่าต้องเหมือนฉันหมด แต่ละคนโตมาไม่เหมือนกัน พวกนึงบอกไม่เหมือนก็ไม่เป็นไร แต่อีกพวกบอกต้องเหมือน ไม่เหมือนต้องฆ่า เหตุการณ์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อการร้ายติดอาวุธ เพราะมันคุยกันไม่ได้แล้ว ถูกฆ่าตาย มันขมขื่น ที่เหลือก็ต้องต่อสู้

อะไรทำให้ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐคุยกันดีๆ ไม่ได้
พลเอกเปรมเล่าไว้ในหนังสือประวัติของท่านว่า ตอนที่ท่านไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อปราบคอมมิวนิสต์ในภาคอีสานซึ่งรุนแรงมาก วันถัดมาหลังจากเข้ารับหน้าที่ ทหารของท่านถูกยิงตายไป 23 คน
ท่านเสียใจมาก แล้วก็ตั้งคำถามว่าทำไมชาวบ้านถึงเกลียดเรา ทำไมพูดกับเขาแล้วเขาไม่พูดด้วย พอไปคุยหลายๆ ครั้ง เขาก็บอกว่าเกลียดเพราะถูกเจ้าหน้าที่รังแก กดขี่ข่มเหง รีดไถต่างๆ นานา ท่านมองว่านี่คือสาเหตุของปัญหา เลยยืนยันกับชาวบ้านว่าถ้าใครมากดขี่ข่มเหง ทหารจะจัดการให้ ถ้าเป็นคนของเรา เราก็จะจัดการ แล้วก็ตั้งทสปช. (กลุ่มราษฎรอาสาสมัครไทยอาสาป้องกันชาติ) ไว้ช่วยจับโจร ชาวบ้านเลยเริ่มเชื่อใจเจ้าหน้าที่รัฐ เริ่มหันหน้ามาคุยกับเรา ก็คือเริ่มต้นแยกโจรออกจากชาวบ้านด้วยการปราบเจ้าหน้าที่ที่กดขี่ข่มเหงก่อน

ได้ยินมาว่าคนไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐเหมือนพลเมืองชั้น 2 มาหลายสิบปีแล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ปัญหานี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ที่มีการส่งข้าราชการจากส่วนกลางไปปกครอง พออยู่ไกลหูไกลตา เจ้าหน้าที่บางคนก็ไปแสดงอำนาจ ไปค้าขาย โดยเฉพาะตำรวจกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน ก็เป็นทุกแห่งนั่นแหละที่ข้าราชการไม่ได้รับใช้ประชาชน ยิ่งผู้มีอำนาจรู้สึกว่าพวกเขา (คนมุสลิม) ไม่ใช่พวกเราด้วยยิ่งไปกันใหญ่ ลืมไปว่าเขาคือคนไทย เป็นนายจ้างเรา

ปัญหาความขัดแย้งใน 3 จังหวัดในช่วงที่พลเอกเปรมเป็นนายกฯ นั้นรุนแรงแค่ไหน
ปีพ.ศ. 2523 มีกลุ่มก่อการร้ายในภาคใต้ที่ติดอาวุธอย่างน้อย 62 กลุ่ม มีโจรจีนคอมมิวนิสต์ โจรจีนมาเลเซีย โจรแบ่งแยกดินแดน โจรอาชญากรรม มีสารพัดโจร จำนวนหลายพันคน ตอนนั้นรุนแรงมาก มีกองกำลังติดอาวุธข้ามไปข้ามมาระหว่างมาเลเซียกับไทย พวกที่ก่อการร้ายในมาเลเซียก็ข้ามมาอยู่ในไทย พวกที่ก่อการร้ายในไทยก็ข้ามไปอยู่ในมาเลเซีย ตอนนั้นสิ่งที่พลเอกเปรมแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ ท่านตั้งศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ท่านไม่ได้สมมติเอาจากกรุงเทพฯ ว่าจะไปปราบใคร ท่านเริ่มที่พื้นที่เลย ให้คนมีศีลธรรมที่อยู่ในราชการเป็นผู้อำนวยการศูนย์
ศอ.บต. ดึงเอาผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา อิหม่าม โต๊ะครู พระ เข้ามาร่วม ชาวบ้านเขาผูกพันกับผู้นำศาสนา เพราะชีวิตเขาอยู่กับศาสนา ฉะนั้นมีสุขมีทุกข์อะไร เขาก็บอกผู้นำศาสนาหมด เพราะเขาไว้ใจว่าคนที่ฟังมีศีลธรรม พอได้ข้อมูล ศอ.บต. ก็จับผู้ร้ายผ่านกองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหารที่เรียกว่า พตท. 43 เป็นหน่วยปราบโจรที่ได้ข้อมูลจริง ผู้อำนวยการศอ.บต. ก็เป็นคนที่มีบารมีพอที่จะข้ามไปทุกกระทรวงเพื่อโยกย้ายข้าราชการที่เลว กดขี่ข่มเหง คอร์รัปชั่น ค้ายาเสพติด ในปีแรกที่ตั้งศอ.บต. คือปีพ.ศ. 2524 มีการย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่มากกว่า 220 คน ชาวบ้านก็รู้สึกเชื่อถือ การก่อเหตุร้ายแรงในช่วงนั้นลดฮวบลงมาเลย ระยะเวลาระหว่างปีพ.ศ.2523-2544 มีผู้ก่อเหตุร้ายอยู่ในขบวนการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเป็นขบวนการกึ่งการเมืองมามอบตัวทั้งหมด 969 คน พวกนี้เป็นนักรบเลย เพราะว่าในปีพ.ศ.2528 เป็นจุดเริ่มต้นที่คนไทยมลายูบางส่วนไปฝึกเป็นนักรบมูจาฮิดีนที่ปากีสถาน ชายแดนอัฟกานิสถาน

ไปฝึกเพื่ออะไร
เพื่อรับใช้ศาสนา ศาสนาอิสลามถือว่ามุสลิมเป็นพี่น้องกันทั้งโลก ใครทุกข์ยากต้องช่วย เป็นศาสนาที่ดี เพราะฉะนั้นการที่มีใครมาทำลายมุสลิมในอัฟกานิสถานมันเป็นสิ่งที่ต้องช่วยเหลือตามหน้าที่ คนที่ไปฝึกก็คือคนที่ต้องการจะสละชีวิตเพื่อต่อสู้กับทหารรัสเซียที่ฆ่ามุสลิมในอัฟกานิสถาน ก็ไปพบกับนายอับดุล ซายาฟ หัวหน้ากลุ่มมูจาฮิดีนที่มีกองกำลังเป็นหมื่นๆ คน เป็นการฝึกเพื่อก่อการร้ายโดยรัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ฝึกให้ เพื่อให้เข้าไปก่อการร้ายต่อรัสเซียที่ปกครองอัฟกานิสถานมาตลอด 10 ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2523-2533 ได้ทำลายกองทัพรัสเซียในอัฟกานิสถานจนประเทศรัสเซียย่อยยับลงไปเลย รัฐบาลอเมริกาใช้โรงเรียนที่คล้ายปอเนาะ (โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม) ในปากีสถานที่เรียกว่ามาดราสซา (Madrassa) 5-6 หมื่นแห่งเป็นตัวกระตุ้นว่านี่คือสงคราม
เพื่อศาสนา เพราะฉะนั้นคนกี่หมื่นคนที่นั่นที่ถูกฝึกเป็นมูจาฮิดีน อเมริกามีชื่อหมด ในนั้นมี บิน ลาเดน ด้วย เพราะฉะนั้นวันที่บิน ลาเดนหันหลังกลับบอกว่าอเมริกาทรยศ มายึดดินแดนเขา กลายเป็นศัตรูกัน รัฐบาลอเมริกาก็ไล่กำจัดตามรายชื่อที่เขามี ก็ตามเข้ามากำจัดในประเทศไทยด้วย

ไม่ได้ไปฝึกเพื่อกลับมาแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้
ไม่ใช่ มีข้อมูลว่ามีคนไทยมลายูบางคนเสนอให้กลุ่มนักรบในอัฟกานิสถานและกลุ่มเจไอที่ก่อความรุนแรงในอินโดนีเซียเข้ามาก่อเหตุร้ายในประเทศไทย แต่ได้รับการปฏิเสธเนื่องจากประเทศไทยไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องมาก่อความรุนแรง เพราะประเทศไทยไม่ได้ข่มเหงศาสนาอิสลาม และไม่เคยมีนโยบายต่อต้านมุสลิม
บิน ลาเดน เคยพูดถึงเงื่อนไขที่สำคัญมากอยู่ 2-3 ประการ เขาตั้งคำถามแรกว่า What school of thought, your blood considered blood, why ours is water. ด้วยวิถีคิดอะไร เลือดของพวกท่านถูกเรียกว่าเลือด เลือดของพวกเราถูกเรียกว่าน้ำ คำพูดนี้มันกินใจของคนมุสลิมทั้งโลกว่าพวกเขากำลังถูกดูถูกดูแคลนกดขี่ บิน ลาเดนพูดที่ใจเลย เขาถามว่า ทำไมเราต้องรับใช้ทุนนิยม ทำไมต้องรับใช้รองประธานาธิบดีของบุชที่มีบริษัทน้ำมันเข้ามาหากินในประเทศของเรา แล้วทำไมเราต้องฆ่ากัน

บิน ลาเดนให้เหตุผลของการก่อการร้ายในอเมริกาว่าอย่างไร
บิน ลาเดน บอกว่าที่เขาต้องฆ่าคนอเมริกัน เพราะคนอเมริกาเลือกประธานาธิบดีได้ และเมื่อเลือกประธานาธิบดีที่มีนโยบายฆ่ามุสลิม ให้งบประมาณกับอาวุธมาฆ่าพวกเขา เขาถึงต้องฆ่าคนอเมริกัน แต่เมืองไทยเราไม่เคยเลือกนายกฯ ไปฆ่าคนมุสลิม ถ้านายกฯ ทำก็เพราะนายกฯ อยากร่วมกับบุชเอง ไม่ใช่คนไทยทำ ผมยืนยันว่าคนไทยไม่มีความคิดนี้เลย เงื่อนไขของบิน ลาเดนจึงไม่สอดคล้องอะไรกับในประเทศไทย องค์กรก่อการร้ายต่างๆ ถึงไม่ได้เข้ามาที่ภาคใต้ ภาคใต้เป็นที่ที่เขามาพักร้อนเท่านั้น เขามีเพื่อนเคยไปฝึกรบด้วยกัน ความเกี่ยวข้องคือเป็นเพื่อนกัน รบกับอเมริกาเหนื่อย ขอมานอนพักผึ่งพุงสัก 3 เดือน
บิน ลาเดน ยังให้ข้อเสนอสันติภาพว่า ข้อเสนอสันติภาพนี้จะมีผลทันทีที่ทหารคนสุดท้ายของท่านออกจากดินแดนของเรา ข้อเสนอของบิน ลาเดนมีแค่นี้

การที่รัฐบาลไทยสนับสนุนนโยบายทางการทหารของอเมริกาอย่างชัดเจนในช่วงหลังนี่ไม่เข้าข่ายเงื่อนไขของกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศหรือ
ก็เกือบไปตอนที่คุณทักษิณส่งทหารไปอิรัก ตอนนั้นรัฐบาลเกือบนำเข้าสงครามก่อการร้าย โชคดีที่คนไทยเรียกร้องให้ถอนทหารออกจากอิรักทัน การที่ให้สิงคโปร์เช่าฐานทัพที่อุดรฯ พวกนี้เขาก็เล็งว่าจะมีอเมริกามาอยู่หรือเปล่า เพราะสิงคโปร์เป็นผู้แทนการรบ การค้าของอเมริกาทั้งหมดในภูมิภาคนี้ มาเลเซียก็กังวล ถ้าสิงคโปร์มีฐานทัพอยู่แค่บนเกาะมันก็จบ แต่ถ้ามาเลเซียรบกับสิงคโปร์แล้วต้องยิงอุดรฯ ด้วย เรายุ่งแล้ว แล้วฐานทัพสิงคโปร์ที่เช่าอยู่ที่อุดรฯ ก็อยู่ใกล้ๆ กับพื้นที่ 3,500 ไร่ที่ให้สถานีวิทยุอเมริกาเช่า สถานีวิทยุอะไรต้องมีตั้ง 3,500 ไร่ ใครก็รู้ว่าเป็นระบบวิทยุเพื่อความมั่นคง แล้วทำไมถึงให้สิงคโปร์มาเช่าที่ฝึกรบที่กาญจนบุรี ที่ปราจีนบุรี ถ้ารัฐบาลไทยเที่ยวไปช่วยอเมริกาเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างนี้ เอาความเป็นความตายของคนไทยไปแลกกับเงินทองก็จะมีปัญหาตามมา

เราไปได้ข้อมูลลึกๆ อย่างการร่วมฝึกรบกับกลุ่มมูจาฮิดีน หรือนโยบายการก่อการร้ายของบิน ลาเดน เหล่านี้มาจากไหน
ในเอกสารของ CIA (หน่วยสืบราชการลับนอกประเทศอเมริกา) เข้าไปดูได้ แล้วก็ได้ข้อมูลจากนักข่าวต่างชาติที่ตามเรื่องพวกนี้ หรือจากองค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่ติดตามวิจัยเรื่องเหล่านี้

เข้าไปดูได้ที่ไหน
ในเว็บไซต์ของเพนทากอน (กระทรวงกลาโหมของอเมริกา) ก็ได้ ทำเนียบขาวก็มี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาก็มี รัฐธรรมนูญของอเมริกาทำให้เขาต้องเปิดเผยข้อมูลเยอะมาก หรือยุทธศาสตร์ในการทำสงครามกับต่างประเทศ พวกนี้ต้องเปิดเผย เข้าไปดูได้เลย อย่างคู่มือที่กลุ่มอัลกออิดะห์ใช้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินชนตึก ผมก็มี ในคู่มือบอกเลยว่าต้องยิ้มกับทุกคน ลงจากแท็กซี่ก็อย่าลืมยิ้มให้คนขับ มีรายละเอียดขนาดนั้น พอเจ้าหน้าที่ได้คู่มือนั้นมา เมื่ออยู่ในกระบวนการสอบสวนเขาก็ต้องทำเป็นไฟล์ บางที่เป็นความลับ แต่บางที่ก็ไม่เป็น เข้าไปดูที่ FBI (หน่วยสอบสวนกลางภายในประเทศอเมริกา) ปรากฏว่าไม่มี เขาขอปิดเป็นความลับ มามีที่อังกฤษ เขาใส่ไว้ในสำนวนฟ้องทั้งเล่มเลย เราก็แค่กดมันออกมาจากเว็บ

ข้อมูลเหล่านี้ใครเข้าไปอ่านก็ได้
ใช่ครับ เช่น ถ้าคลิกเข้าไปดูที่ US Department of State (กระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา) เข้าไปดูที่ Non-NATO เราจะเจอว่าประธานาธิบดีเขาตกลงอะไรกับใครในทุกๆ วันเรื่องอะไร เพราะเป็นข้อมูลที่ต้องเปิดเผย เช่น ในวันที่ 31 ธันวาคม 2003 นายบุชประกาศว่าการที่รัฐบาลไทยเข้าเป็นพันธมิตรที่สำคัญของอเมริกานั้น อเมริกาได้ตอบแทนเราใน 2 ข้อใหญ่ อันแรก ไทยมีสิทธิจะมีคลังอาวุธของอเมริกาในประเทศไทยได้ อันที่สอง ไทยจะได้ผลประโยชน์จากการได้สิทธิซื้อระบบอุปกรณ์ และเทคโนโลยีดาวเทียมทางธุรกิจ เขาระบุแม้กระทั่งว่าที่คุณทักษิณแอบไปพบกับบุช 45 นาที ที่บอกว่าลับห้ามคนไทยอ่านเนี่ย เข้าไปดูสิครับ เขาคุยกันเรื่องเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือก็อ่าน เดี๋ยวเกาหลีเหนือก็หันหัวรบมาทางเมืองไทยหรอก
วันที่ 3 มิถุนายน 2003 ประเทศไทยลงนามกับสถานทูตอเมริกาว่าถ้าคนอเมริกันและทหารอเมริกัน
เข้ามาก่ออาชญากรรมในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เราจะไม่ส่งเขาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ผมก็ถามคุณสุรเกียรติ (เสถียรไทย)
ว่าเขากำลังจะมาฆ่าใครหรือ ถึงต้องมาทำสัญญาก่อนว่าเขาจะไม่ต้องขึ้นศาล

ข้อมูลแบบนี้ฝ่ายค้านทราบไหม
ไม่รู้ ทราบบ้าง ไม่ทราบบ้าง

ทำไมถึงไม่เคยเป็นประเด็นอภิปรายในสภาบ้างเลย
ที่ห่วงก็คือ ถ้าฝ่ายค้านหยิบขึ้นมา รัฐบาลก็จะหยิบที่สิ่งฝ่ายค้านเคยทำมาเอามาพูดบ้าง

เราฝากความหวังไว้กับสื่อมวลชนได้แค่ไหน
โทรทัศน์นี่หวังไม่ได้เลยเพราะมันเป็นธุรกิจไปหมดแล้ว แล้วก็ถูกควบคุมโดยนายกฯ โดยรัฐบาล ถึงแม้เราจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าสื่อมวลชนต้องมีอิสรภาพ แต่ในความเป็นจริงก็ทำไม่ได้ ในประเทศทุนนิยมหนักๆ เขาถึงต้องมีกฎหมายควบคุม ถึงไม่มีการฟ้องร้องสื่อมวลชนเพราะกฎหมายห้าม คนรับรู้ได้ว่านี่สื่อมวลชนวิจารณ์ ต้องอ่านหลายๆ สื่อ แต่สื่อเราลำบากทั้งถูกครอบงำโดยธุรกิจ โดยอำนาจ แล้วก็ยังมีการคุกคามด้วยการฟ้องร้องสั่งสอน ถึงสื่อจะชนะ แต่การต้องไปขึ้นศาล 10 ปีก็ทำให้เขาหมดทางทำมาหากิน หรืออาจจะแพ้เพราะไม่มีกำลังเงินจะไปหาทนายมาสู้

กลับมาที่เรื่องภาคใต้ หลังจากที่กลุ่มผู้ก่อการร้าย 969 คนมอบตัวแล้ว เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
เมื่อ 969 คนมามอบตัว บางส่วนก็เป็นสายข่าวให้ทหารเพื่อสร้างความยุติธรรมในภาคใต้ เป็นการร่วมมือกันทั้งศาสนา ทั้งชาวบ้าน เพราะฉะนั้นกระบวนการดูแลปราบโจรในช่วงนั้นจึงเป็นเรื่องของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ช่วยกัน ถ้าเราไปถามโต๊ะครู ถามอิหม่าม ถามพระว่ารู้จักคนในหมู่บ้านไหม 500 คน 800 คน รู้จักหมด ขี่มอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อกก็จำได้ ก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครทำอะไรก็รู้กันหมด สมัยก่อนตำรวจจะจับใครก็ไปคุยกันที่มัสยิดว่าคนนี้ผิดใช่ไหม แล้วก็ช่วยกันจับ เขาถึงรู้หมดว่าใครอยู่ที่ไหน

อะไรทำให้คนเหล่านี้ตัดสินใจมอบตัว
เขาเชื่อในคุณธรรมของผู้นำ นายกรัฐมนตรีในช่วงปีพ.ศ.2523-2543 สังวรว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรักษาใจคน 1.7 ล้านคนด้วยพระเมตตา ยึดพระบรมราโชบายของรัชกาลที่ 6 ในการดูแลภาคใต้
ข้อแรก คือ ห้ามกดขี่เบียดเบียนศาสนาอิสลาม ข้อสอง ทำอะไรต้องดีกว่ามาเลเซีย ข้อสาม ห้ามข้าราชการเลวๆ ไปอยู่ นั่นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 นะ สมัยนายกฯ ทุกท่านที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีความคิดอยากฆ่าใคร ความสัมพันธ์ของป๋า (พล.อ.เปรม) กับประชาชนเป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่แข็งแรงกว่าที่มีหน้าที่ช่วยดูแลคนอ่อนแอกว่า เมื่อชาวบ้านมีปัญหาความไม่ยุติธรรม ศอ.บต.ก็สามารถโยกย้ายข้าราชการกดขี่ข่มเหงให้ได้ ทำอย่างนี้ชาวบ้าน
ก็มั่นใจ จำนวนผู้ก่อการร้ายถึงลดลง จนเด็กรุ่นนี้ในภาคใต้ไม่รู้เรื่องเลยเกี่ยวกับกระบวนการแบ่งแยกดินแดน เด็กรุ่นนี้ซื้อครีมทาหน้าขาวหมดแล้ว อยู่ในศาสนา มีชีวิตที่น่ารักเหมือนเด็กทุกแห่ง

แปลว่าอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนนั้นไม่มีอยู่จริงแล้ว
มีอยู่ในคนอายุ 70-80 ปี ไม่กี่คน น้อยจนมันเป็นไปไม่ได้แล้ว พวกที่อยากแบ่งแยกดินแดน เขาหนักใจเด็กของเขามากกว่าหนักใจทหารเราอีก เพราะเด็กมันไม่เอาแล้ว ขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว ซื้อครีมหน้าขาวแล้ว มันจบไปแล้ว สอง คือวิธีคิดของเขามันเปลี่ยนไป ไม่ผูกพันกับเจ้ารัฐปัตตานีอะไรอีกแล้ว สาม ผมเคยถามคุณทักษิณ (ชินวัตร) ว่าช่วยแบ่งภาคใต้ให้ดูหน่อยสิว่าจะแบ่งได้ยังไง ก็แบ่งไม่ได้ สหประชาชาติก็รับรองไม่ได้ จะรับรองได้
ก็ต่อเมื่อต้องเป็นรัฐอิสระมาก่อนแล้วถูกยึดครอง แต่นี่ไม่ใช่ยึดครอง เราอยู่กันแบบนี้มานานแล้ว ถ้าบอกว่าเมื่อ 200 ปีก่อนเคยเป็นรัฐอิสระแล้วกรุงรัตนโกสินทร์ยกทัพมาตี ถ้าเงื่อนไขนี้ก็ต้องคืนกันจมเลย อเมริกาก็ต้องคืนให้อินเดียนแดง ออสเตรเลียก็ต้องคืนให้ชนพื้นเมืองเดิมพวกอะบอริจิน การแบ่งแยกดินแดนมันเป็นแค่แผลเป็นในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนไปสร้างความขมขื่น ความอยุติธรรมให้ เมื่อมีคนคิดต่อสู้เขาก็จะไปยกเรื่องที่รวมทุกคนไว้ด้วยกัน คือเรื่องศาสนา หรือเรื่องชนชาตินิยม แบ่งแยกดินแดน

ตอนที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาเหลือโจรอยู่สักเท่าไหร่
พ.ต.ท.43 รายงานว่า โจรที่เคยมีหลายพันคนในปีพ.ศ.2523 เหลือเพียง 70-80 คน ในปีพ.ศ.2543 เป็นโจรกลุ่มเก่าๆ ซึ่งจบไปแล้ว ไม่ปฏิบัติการอะไรแล้ว พวกที่เป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนโดยอุดมคติ
ก็มีอายุ 70-80 ปี น้อยใจไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว การก่อเหตุร้ายใน 3 จังหวัด เมื่อปีพ.ศ.2543 เหลืออยู่ 32 ครั้ง และก็ไม่โหดเหี้ยมเหมือนปัจจุบัน แต่ปีพ.ศ.2547 เพิ่มขึ้นเป็น 1,253 ครั้ง ใน 2 ปีมีคนถูกฆ่าตายไปแล้วมากกว่า 1,000 ราย ไม่รวมผู้บาดเจ็บ พิการ กำพร้า เป็นหม้าย และหวาดผวาอีกหลายหมื่นคน ทำไมโจรแบ่งแยกดินแดนที่เคยมีจำนวนแค่ 70 คน เมื่อปีพ.ศ. 2544 ถึงมีแนวร่วมเพิ่มเป็นพันๆ คน ในปีพ.ศ. 2548 รัฐบาลนี้ทำอะไรลงไป

รัฐบาลทำอะไรลงไป
ตอนที่นายกฯ ทักษิณนี้เข้ามารับตำแหน่งเมื่อปีพ.ศ. 2544 พอรู้ว่าเหลือโจรอยู่ 70 คนก็บอกว่าโจรกระจอก รู้หมดแล้ว เดี๋ยวจะจัดการให้หมด แล้วก็สั่งยุบศอ.บต. และพ.ต.ท.43 เมื่อปีพ.ศ. 2545

นายกฯ ให้เหตุผลในการยุบว่า
ตอนนั้นมีตำรวจที่ประพฤติไม่ดีอยู่ในสำนวนสอบสวนของ ศอ.บต.ร้อยกว่าคน พวกตำรวจก็เลยอยากยุบ ท่านก็มาจากสายตำรวจ ศอ.บต.ประกอบด้วยทั้งตำรวจและทหารที่ดี แต่ช่วงนั้นคนที่ถูกสอบสวนส่วนใหญ่เป็นตำรวจ และเจ้าหน้าที่บางส่วน อีกเหตุผลคือ มีความรู้สึกว่า ศอ.บต. เป็นโครงสร้างของพวกประชาธิปัตย์
ถ้าจะชนะเลือกตั้งในปีพ.ศ. 2548 ก็ต้องจัดการกับโครงสร้างนี้ซะ

เกิดอะไรขึ้นหลังจากยุบศอ.บต.
เกิดการอุ้มฆ่าเยอะมาก ช่วงนั้นเป็นช่วงฆ่าตัดตอนยาเสพติดด้วย คุณสมชาย นีละไพจิตรก็ถูกอุ้ม
คุณสมชายเป็นทนายความที่ต่อสู้เพื่อคนยากไร้มาตลอด 20-30 ปี ช่วยทำคดีให้แพะ ให้คนที่ถูกยัดเยียดข้อหาจำนวนมาก คดีทางภาคใต้นี่เยอะเลยทั้งถูกยัดข้อหา ถูกทารุณ ก็สู้คดีจนศาลปล่อยผู้บริสุทธิ์


คนที่ถูกอุ้มฆ่าส่วนใหญ่เป็นใคร
สายข่าว เป็นที่รู้กันว่าข้อมูลที่เข้ามายังศอ.บต.ที่บอกว่าใครคือพวกใช้ศาลเตี้ยใครคือพวกโจร มาจากใครบ้าง ก็คือเอ็งที่ขี้ฟ้องทั้งหลาย ชาวบ้านที่ช่วยให้ข่าวก็ถูกพวกศาลเตี้ยอุ้มฆ่า แล้วก็อ้างว่าเป็นพวกก่อการร้ายบ้าง ค้ายาบ้าง อ้างสารพัด แต่ไม่ได้เอามาดำเนินคดี หายไปเฉยๆ ช่วงนั้นคนหายเยอะแยะไปหมด พวกที่หายมากที่สุดก็คือสายข่าวทหาร ที่นั่นก็เลยกลายเป็นระเบิด ชาวบ้านก็กลัวไปหมด พอคุณสมชายหาย ความขมขื่น
ก็เกิด พอมีการปล้นปืนๆ ก็หายวับไปเลย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าไปไหน ถ้าสมคบกัน 2 คนแล้วไม่มีคนรู้ อันนี้ปกติ แต่นี่คนเป็นร้อย ปล้นปืน 400 กว่ากระบอกโดยที่ไม่มีใครรู้เลย ตลกมากเลยนะ แสดงว่าหลังจากยุบศอ.บต.
การเชื่อมโยงข้อมูลความจริงทั้งหมดหลุดหายหมดเลย

หลังจากยุบศอ.บต. แล้วกระบวนการสืบข่าวทำกันยังไง
ข้อมูลในยุคของศอ.บต. เป็นข้อมูลที่มาจากเรื่องจริงทั้งหมด เพราะคนจริงเป็นคนบอก แต่พอยุบศอ.บต. ความจริงก็ถูกตัดทิ้ง โจรก็เข้ามารับรู้ความทุกข์แทน แล้วเข้ามาจัดการให้แทน ใครกดขี่เหรอ ยิงให้เอาไหม ชาวบ้านก็รู้สึก เออ จัดการมันซะบ้างก็ดี ทีนี้พอรัฐบาลอยากรู้ข้อมูลบ้างทำไง ก็ส่งคนของตัวเองลงไปสืบ มันคนละเรื่องแล้ว เพราะไม่ได้มาจากเรื่องจริง คนไปสืบก็ต้องเล็งตานายว่าอยากได้อะไรด้วย ต้องไปสร้างข่าวให้ตรงกับนาย สร้างเรื่องให้ตรงกับข่าว ตัวเองจะได้มีความสำคัญ อันไหนพูดไปนายโกรธก็ไม่พูด เรื่องมันก็เริ่มไม่จริงแล้ว พอลงไปในพื้นที่มันก็มีคนที่ทำตัวเป็นผู้รู้ เขาถึงพูดกันว่ามันมีพวกไม่รู้แล้วไม่ชี้ พวกรู้แต่ไม่ชี้ พวกรู้และชี้ ซึ่งพวกนี้จะดี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก พวกไม่รู้แต่ชอบชี้ ชี้สุ่มสี่สุ่มห้าว่าคนนั้นพวกนี้เป็นคนทำ มันก็ไปอุ้มผิด
เรื่องนี้ผมเพิ่งเขียนลงหนังสือพิมพ์ไป เป็นรายงานหน้าแรกของกอส. (คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ) ด้วย ผมไปพบกับคุณสีหมะ สามีเป็นทหารผ่านศึกปลดประจำการแล้วชื่อมะตอลาฟี
สีหมะมีลูก 2 คน คืนวันที่ 14 มกราคม พ.ศ 2547 มีกลุ่มคนคลุมหน้า 10 คนพังประตูเข้ามาลากมะตอลาฟีจากที่นอนต่อหน้าลูกเมียเอาไปซ้อม ถามว่าปืนที่เอ็งปล้นเอาไปไว้ที่ไหน มะตอลาฟีก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ พวกนั้นก็ซ้อม บอกว่าเอ็งขายหมดแล้วล่ะสิ เอาเงินไปไว้ที่ไหน แล้วก็ลากมะตอลาฟีออกไปตอนสองยาม วันที่ 17 มกราคม ก็มาโยนศพมะตอลาฟีไว้ใกล้ๆ บ้าน ถูกทุบตายทั้งตัว ซี่โครงหัก ถูกไฟฟ้าช็อต ชาวบ้านเขารู้กันทั้งตำบลว่ามะตอลาฟีบริสุทธิ์ แต่ไม่มีการสืบสวน ไม่มีการจับผู้ร้าย ตอนนั้นมีแบบนี้เยอะเลย ลากไปทุบๆ เอา
บางคนได้กลับ บางคนก็ไม่ได้กลับ

ถ้ามองโลกในแง่ร้ายที่สุด เรารู้ได้ยังไงว่ามะตอลาฟีไม่ได้เอาไปจริงๆ
ก็ทำไมไม่จับเขามาฟ้องศาล ทำไมถึงตั้งศาลเตี้ย มาตั้งศาลเตี้ยกันเต็มไปหมด ทำแทนศาล แทนตำรวจ ทนาย อัยการ ผู้สอบสวน นึกเอาเองหมด งั้นก็นึกเอาเองได้เลยว่าใครก็ได้ใน 2 ล้านคนเป็นคนที่ควรตาย ก็ต้องฆ่าหมด ไม่ใช่ทำตัวเหมือนโจร เจ้าหน้าที่ดีๆ ที่เสียสละไม่ทำแบบนี้หรอก เราต้องจับโจร แต่ต้องจับโดยมีหลักฐานและใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่ลองฆ่าคนบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ เผื่อได้ประโยชน์ ทุกคนต้องได้รับความยุติธรรม ตำรวจก็ต้องได้รับความยุติธรรมแบบตำรวจ ชาวบ้านก็ต้องได้รับความยุติธรรมแบบชาวบ้าน โจรก็ต้องได้รับความยุติธรรมแบบโจร เช่น ถ้าทำแบบนี้ติดคุก 40 ปี ทำแบบนี้ประหารชีวิต นั่นคือความยุติธรรม ไม่ใช่ไปตกลงแอบยิงกันเอง เราต้องปราบผู้ร้าย ต้องปกป้องคนดี ไม่ใช่คนดีถูกฆ่า แต่ผู้ร้ายไม่มีใครทำอะไร คนมันก็ไม่อยากช่วยแล้ว เพราะเดี๋ยวถูกฆ่าอีก แล้วอย่างนี้บ้านเมืองจะอยู่กันยังไง ชาวบ้านบอกว่ามีผู้ถูกอุ้มฆ่าจำนวนมาก ใน 3 จังหวัด โดยไม่มีใครรู้ว่าใครทำ
คนที่ถูกอุ้มฆ่าที่ว่าคือผู้บริสุทธิ์
เป็นผู้บริสุทธิ์ ก็ศาลยังไม่ได้ตัดสินเลย ก่อนยุบศอ.บต.ในปีพ.ศ. 2541มาเลเซียจับหัวหน้ากลุ่มพูโลให้ 4 คน ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ นั่นแม่ทัพเลย เขาก็ส่งมาให้ไทย เพราะรู้ว่าเราใช้กฎหมาย เดี๋ยวนี้เขาไม่แน่ใจแล้ว

นอกจากกลุ่มพูโลแล้ว ยังมีกลุ่มก่อการร้ายอะไรที่มีบทบาทสำคัญอีก
พวกเปอมูเดอในกลุ่มบีอาร์เอ็นจะรุนแรงหน่อย เปอมูเดอ แปลว่า วัยรุ่น แต่สื่อมาเขียนขบวนการเปอมูเดอ กลายเป็นเหมาวัยรุ่นทั้งหมดเป็นขบวนการก่อการร้ายไป เหตุการณ์ในภาคใต้ตอนนี้คาดกันว่ามาจากกลุ่มนี้เยอะ ทำในสิ่งที่ไม่มีศีลธรรม ฆ่าคนตามถนน พวกบีอาร์เอ็นรุ่นเก่า พูโลรุ่นเก่าถึงออกแถลงการณ์ว่าไม่เห็นด้วย
ใครจะอยากมาอยู่กับขบวนการที่ฆ่าคนตามถนน อุดมการณ์ทางการเมืองมันผิด เขาถึงไม่ให้ใครรู้จักตัว พวกวัยรุ่นที่แตกหน่อมาจากบีอาร์เอ็น
กลุ่ม GMIP (Gerakan Mujahidin Islam Pattani) คือกระบวนการของกลุ่มที่ไปฝึกรบกับกลุ่มมูจาฮิดีน ใน 969 คนที่มามอบตัวไม่มีกลุ่มนี้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะพวกเขาเป็นนักรบที่ตกลงแล้วว่าต้องการตายเพื่อศาสนา แต่ในเมื่อในเมืองไทยไม่มีเงื่อนไขนั้นมันก็จบ พวกเขาก็ยังอยู่ในเมืองไทย เป็นชาวบ้านปกตินี่แหละ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีความขมขื่น ถูกละเมิดในศาสนา ถูกกดขี่ข่มเหง เขาก็ต่อสู้
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มพูโลใหม่ และกลุ่มบีอาร์เอนซี ซึ่งคาดว่าไม่มีบทบาทมากนักในปัจจุบัน

ทำไมโจรพวกนี้ถึงฆ่าคนบริสุทธิ์
วันที่มีการฆ่าตัดคอคนแรกที่นราธิวาส วันนั้นผมก็อยู่ ตัดเสร็จก็เขียนทิ้งไว้ว่า ‘มึงฆ่าคนบริสุทธิ์ กูก็จะฆ่าคนบริสุทธิ์’ ผมถึงบอกว่าทั้งมึงและกูน่ะไม่เคยตาย แต่ผู้บริสุทธิ์ตายทุกวัน ทั้ง 2 ข้างอยู่ในเงามืด เดี๋ยวโต๊ะครูตาย เดี๋ยวพระตาย คือไม่ใช่แค่ฆ่าคนบริสุทธิ์ แต่โจรกำลังยั่วยุให้มีการตอบโต้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ เพื่อจะได้ทำให้ชาวบ้านคับแค้นจนกลายเป็นแนวร่วมให้โจร ชาวบ้านที่เป็นพุทธก็หวาดกลัวโจร ส่วนชาวมุสลิมก็กลัวทั้งโจรทั้งพวกศาลเตี้ย น่าเห็นใจมาก ทุกครั้งที่เกิดเหตุต้องจับโจรให้ได้ แต่นี่ตายไปเป็นพันคนแล้วยังจับแกนนำโจรไม่ได้เลย

ถ้ารัฐบาลบอกว่าก็พันคนที่ตายไปนี่แหละมีโจร 70 คนรวมอยู่ด้วย
ถ้าแกนนำโจรตายมันก็ควรจะจบไปแล้ว แต่ทำไมมันมากขึ้นล่ะ ที่ยังจับไม่ได้แสดงว่าระบบข่าวมันพังหมดแล้ว ผลสำรวจของกระทรวง ICT ชาวบ้าน 82.9 เปอร์เซ็นต์บอกว่าหวาดกลัวเจ้าหน้าที่

ความหวาดกลัวเจ้าหน้าที่มาจากอะไร
มีการอุ้มฆ่ามาตลอด ก็ไม่รู้ใครทำนะ บางทีโจรก็ทำเองเพื่อป้ายไปให้เจ้าหน้าที่ แต่มันต้องมีมูล มันถึงต่อได้ขนาดนี้ มูลก็คือ คนบางคนตายขณะทำละหมาด โจรมุสลิมทำไม่ได้หรอก โจรที่นั่นกลัวที่สุดก็คือมัสยิดพิพากษาว่าตายแล้วจะไม่ไปละหมาดให้ นั่นคือสิ่งที่คนกลัวที่สุดเพราะว่าจะไม่ได้ไปพบพระเจ้า

เป็นโจรแล้วยังกลัวไม่ได้พบพระเจ้าอีกหรือ
อิสลามเป็นเรื่องวิถีปฏิบัติที่ไม่สามารถแยกศาสนาออกจากชีวิตประจำวันได้ คนมุสลิมทุกคนเชื่อว่าตายไปก็จะถูกพิพากษาโดยพระเจ้า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือโจรก็เชื่อว่าชีวิตของเขาจะเดินไปตามทางนี้
มีหลายคนถูกยิงทิ้งขณะละหมาด แล้วไปบอกว่าโจรฆ่าตัดตอนกันเอง ชาวบ้านเขารับไม่ได้หรอก เหมือนบอกว่าคนพุทธฆ่าพระ เจ้าหน้าที่ฆ่าเอง เราเชื่อไหม เจ้าหน้าที่เลวยังไงก็ฆ่าพระไม่ได้ เหมือนกันครับ ฉะนั้นหลายๆ ข่าวที่ออกไปชาวบ้านเขารับไม่ได้ มันเป็นเรื่องโกหก หรือข่าวที่นายกฯ บอกว่ามีโรงเรียนปอเนาะฝึกอาวุธ มีสนามซ้อมยิงปืน พบปืนด้วย ผมก็ไปดูว่ามันจริงไหม สนามซ้อมยิงปืนที่ว่าคือต้นมะพร้าวมีรู เอามือแยงเข้าไปข้างในเป็นโพรงด้วงมะพร้าวทั้งนั้น ถามว่าปืนอยู่ไหน พอไปตามก็ปรากฏว่าเป็นปืนของผู้ใหญ่บ้านได้รางวัลผู้ใหญ่บ้านดีเด่นได้รับปืนรางวัลจากกระทรวงมหาดไทย แต่ลูกเจ้าของโรงเรียนถูกยิงทิ้งไปแล้ว 3 คนกับเพื่อนในบ้าน ถูกยิง 51 นัด ยิงอยู่ 10 นาที ขณะทำละหมาด ไม่รู้ว่ากลุ่มไหนทำ แต่ถ้าไม่มีการสอบสวนจับกุม ก็จะเกิดความคับแค้นจนไปเป็นแนวร่วมกับโจรอีก

สิ่งเหล่านี้สะสมความขมขื่นให้ชาวบ้านมาเรื่อยๆ
ใช่ โจรน่ะต้องปราบ เราสามารถปราบโจรได้เลย 70 คน ถ้าไม่มีแนวร่วม แต่การที่เราไปกระตุ้นแนวร่วมถือเป็นความพลาดพลั้งครั้งใหญ่ คนที่มาเป็นแนวร่วมกับโจรมันเกิดจากความขมขื่น ถูกกดขี่ข่มเหง ถูกด่าทอ เอาเปรียบ สิ่งที่กรรมการสมานฉันท์พยายามทำก็คือการกันแนวร่วมออกจากโจร แยกน้ำออกจากปลา
ปลาก็ตาย โจรอยากรบกับทหารเหรอ มี 70 คน ทหารตั้งแสน เขาไม่อยากรบหรอก สิ่งที่เขาทำคือพยายามให้รัฐบาลไปปราบเอาคนบริสุทธิ์ ก็ปล่อยข่าวลวงเยอะแยะ
สิ่งที่โจรทำก็คือทำตัวอย่าง เช่น ตัดคอ เพื่อให้พวกที่ขมขื่นทำตาม จุดระเบิด เพื่อให้พวกนั้นระเบิดตาม เขาไม่ได้สั่งนะ ข้างล่างมันเป็นข่าย เป็นจุดๆๆๆ แต่ไม่ได้เป็นเครือ ไม่เชื่อมโยง เราจะเห็นว่าแต่ละที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยเหมือนกัน เหมือนกันเป็นย่านๆ ไม่ได้มีใครสั่ง แต่ความขมขื่นมันสั่ง สิ่งที่รดน้ำพรวนดินให้ข่ายเหล่านี้เจริญงอกงามคือความขมขื่น โดยคำพูดดูถูกดูแคลน การพูดเท็จในเรื่องของเขา โจรก็กระตุ้นด้วยการทำร้ายๆ เช่น ฆ่าพระจะได้โมโห รัฐบาลก็แบ่งให้เสร็จเลยว่าคน 3 จังหวัดนี้ไม่ดี โจรมันยังคิดไม่ได้เลย พอข่าวออกมาอย่างนี้ชาวบ้านใน 3 จังหวัดเขาก็รู้สึกว่าถูกแบ่งแล้ว มันเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่เรื่องของวัตถุ

ความคิดที่สรุปเหมาเอาว่าคนทั้ง 3 จังหวัดไม่ดีเริ่มต้นมาจากไหน
เพิ่งมามีตอนรัฐบาลชุดนี้ คือนายกฯ ท่านชอบด่ากราดหมด ก็ได้คะแนนการเมืองจากอีก 73 จังหวัด
ที่เหลือ แต่คนที่นั่นจะรู้สึกหมดหวัง หดหู่ เพราะมันไม่ตรงกับความจริง ถ้าเริ่มต้นคิดว่าคน 3 จังหวัดไม่ดี ความคิดเราก็จะจมอยู่อย่างนั้น มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าเราไปใน 3 จังหวัด เราจะพบความสงบทั่วไปชาวบ้านเกือบ 2 ล้านคนเป็นคนดี เรื่องของเหตุการณ์ความไม่สงบถ้าเราเรียกว่าเป็นอาชญากรรม ก็มีจำนวนน้อยกว่าอาชญากรรมที่เกิดในกรุงเทพฯ เสียอีก แต่เป็นเหตุที่แตกต่างกัน ที่นั่นมีคนดีมีอยู่ 99.5 เปอร์เซ็นต์ มีโจรแค่ไม่กี่คน คนไม่ดีมันมีอยู่ทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นพุทธหรือมุสลิม ไม่ว่าตำรวจหรือโจร เรากำลังต่อสู้กับคนไม่ดี แต่อย่าไปแบ่งพรรคแบ่งพวกแบบนี้เลย พอแบ่งพวกมันรวมหมดเลยทั้งดีและไม่ดี แล้วคนดีก็จะโดนก่อน เพราะคนทำเลวทำเสร็จมันจะหลบ ยิ่งถ้าไปคิดว่าคนที่อยู่ในศาสนาอิสลามทั้งหมดเป็นพวกเดียวกับพวกแบ่งแยกดินแดนนี่ยุ่งเลย จะเข้าใจผิดอย่างแรง ยิ่งไปคิดว่าเป็นพวกเดียวกับโจร เราเลยกลายเป็นคนทำลายภาคใต้เสียเอง แบบนี้โจรชอบ



เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ว่าปัญหาภาคใต้เกิดจากโจรที่ทำตามอุดมการณ์ทางศาสนา ถูกศาสนาสอนให้ก่อความรุนแรง ทำไมเราถึงเข้าใจกันอย่างนั้นได้
อาจเพราะในช่วงแรกของปัญหา คุณทักษิณไปพูดว่าพวกโง่เขลา พวกหลงผิดในศาสนา เราไม่ควรไปเรียกว่าโจรมุสลิม โจรที่ห้อยพระเครื่องปล้น เราก็ไม่เรียกว่าโจรพุทธ มุสลิมเขาสอนให้คนรักสันติ มุสลิมอ่างทองเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ มุสลิมบึงกุ่มเขาก็ค้าที่ดิน มันไม่ใช่เรื่องของศาสนา มีคนนับถือมุสลิม 1,400 ล้านคนทั่วโลก คนพวกนี้ไม่บ้าไปหมดเลยหรือ พูดอย่างนี้อันตรายเพราะเป็นการพูดแบบเหยียดหยันเหมือนจะดูถูกศาสนา

แล้วเรื่องการญิฮาด
หลังๆ คำว่าญิฮาดมักถูกใช้บ่อยๆ กับเรื่องระเบิดพลีชีพ แต่ในศาสนา ญิฮาดคือการเสียสละทุกอย่างเพื่อศาสนา เสียสละความโลภ หรืออะไรก็ตาม มันอาจจะถูกนำมาใช้อ้างเพื่อให้เกิดการต่อสู้ แต่ไม่ใช่ต้นเหตุ อาจพูดว่าเป็นการเอาศาสนามาอ้างผิดๆ เอาศาสนามาบิดเบือนได้ แต่ตัวคำสอนของศาสนาไม่ได้ผิด

เหตุการณ์ที่ตันหยงลิมอก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่คนนอกพื้นที่ส่วนใหญ่รู้สึกว่าชาวบ้านเหมือนโจร
ที่โหดเหี้ยมอำมหิตมากๆ ความจริงที่ถูกส่งมาถึงที่นี่เป็นความจริงแบบเดียวกับที่เกิดเหตุไหม
ข้อมูลความจริงไม่ได้ถูกส่ง มันเป็นข้อมูลที่ถูกเขียนจากกรุงเทพฯ เดาว่าเขาจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมถึงพยายามบอกว่ามันต้องมีนักข่าวที่ฝังตัวลึกที่นั่น ข่าวที่เราได้ยินคือมีการฆ่านาวิกโยธินอย่างทารุณ แต่เหตุการณ์มันเริ่มด้วยการกราดยิงร้านน้ำชาที่ตันหยงลิมอตอน 2 ทุ่ม เป็นการกราดยิงเป็นแนวยาวประมาณ 60 เมตร ตามถนนมาเรื่อยโดนบ้าน 4 หลังรวมร้านน้ำชา ถ้านับกระสุนตามรูเกิน 60 รู ยิงด้วยปืนกล 3 กระบอกจากท้ายรถกระบะ เด็กตาย 2 คน บาดเจ็บ 5 คน อีก 5 นาทีเจ้าหน้าที่ก็มาถึง ชาวบ้านตั้งคำถามว่า หมู่บ้านนี้มีด่านอยู่ก่อนทางเข้าหมู่บ้านทั้ง 2 ทาง มีทั้งหมด 3 ด่านหัวท้าย รถกระบะที่มีปืนกล 3 กระบอกวิ่งผ่านด่านโดยด่าน
ไม่รู้ได้อย่างไร สวนกับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาด้วย หายไป 2 วัน ผู้บริหารบ้านเมืองก็ตอบว่าก็โจรมันอยู่ในหมู่บ้าน
มันไม่ได้ออกมา ตอบแบบนี้กลายเป็นช่วยโจรให้มีแนวร่วม แทนที่จะบอกว่าต้องสืบสวนให้ได้ ช่วยกันร่วมมือค้นหา ชาวบ้านโดนข่าวแบบนี้ก็หดหู่ นาวิกโยธินถูกฆ่าตายทารุณมาก โจรควรถูกจับ แต่เด็กนั่นก็ถูกยิงทารุณเหมือนกัน โจรที่ยิงกราดก็ต้องถูกจับทั้งคู่ ต้องหาความจริง ไม่ใช่มาแบ่งเป็นพวก วิธีแบ่งพวกนี่มันเกิดปัญหาเยอะเลย

หลังเกิดเหตุการณ์ได้เข้าไปในพื้นที่ตันหยงลิมออีกไหม
ผมได้ไปนั่งคุยกับเด็กและชาวบ้านเป็นสิบครอบครัว มีครอบครัวหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับมัสยิด ชื่อต่วนมีเมาะมีลูก 5 คนถูกจับไป ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ๆ บอกว่าการก่อเหตุร้ายประกอบไปด้วยกลุ่ม 5 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำให้เชื่อทางศาสนา กลุ่มปฏิบัติการ กลุ่มสร้างข่าว กลุ่มสืบข่าว และกลุ่มเสบียง ต่วนมีเมาะเลี้ยงลิงตัวนึงไว้รับจ้างขึ้นมะพร้าวกับสะตอในหมู่บ้าน ที่นั่นเขาใช้วิธีแบ่งครึ่งระหว่างเจ้าของสวนกับเจ้าของลิง ขึ้นสะตอก็แบ่งสะตอ ในบ้านนี้เลยมีสะตอดองเก็บไว้กินเยอะ ชาวบ้านคิดว่าเจ้าหน้าที่จับต่วนมีเมาะไปเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นกลุ่มเสบียงเนื่องจากมีสะตอดองในบ้านเยอะ ชาวบ้านก็งงว่าทำไมเอาสะตอดองเป็นหลักฐาน แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ปล่อย



เราได้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์ในครั้งนี้บ้าง
ที่ตันหยงลิมอเป็นตำบลที่มี 8 หมู่บ้าน หมู่บ้านที่เกิดเหตุไม่ใช่หมู่บ้านสีแดง ที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นหมู่บ้านสีแดงนั้นผิดหมู่บ้าน ถ้าเรามองออกจะรู้ว่ามันเกิดปัญหาการได้ข้อมูลเท็จ เพราะโจรที่ทำอยู่ในมุมมืดคอยจังหวะยั่วให้คนนี้ฆ่าคนนี้ ทำให้คนดีๆ มาฆ่ากันเอง เจ้าหน้าที่ก็ทำถูกแล้วที่ไม่เข้าไปแย่งตัวนาวิกโยธิน เพราะถ้าเจ้าหน้าที่เข้าไป นาวิกโยธินก็ถูกฆ่าตาย แต่ในโจรที่อยู่ในมุมมืดก็จะยิงเด็ก ยิงผู้หญิง ยิงคนบริสุทธิ์ด้วย ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนั้นก็จะร้ายแรงจนคุมไม่ได้ โจรก็คอยแหย่แบบนี้ รัฐบาลก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นโจรก็เลยไม่รู้จะปราบใคร
ผมไปถามแม่ของเด็กที่ตายทั้ง 2 คน เขาบอกเลยว่าอย่าหาคนยิงเลย เดี๋ยวคนยิงเขาโกรธเอา แล้วเขาจะยิงพวกเรามากขึ้น มันเหงาขนาดนั้น แม้แต่ผู้ร้ายที่ยิงลูกยังไม่อยากรู้เลย เพราะกลัวเขามายิงอีก บ้านเมืองมีอะไร ทำไมถึงปกป้องคนบริสุทธิ์ไม่ได้

นโยบายแจกปืน 15,000 กระบอก ให้กับอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน ถือเป็นทางแก้ที่ตรงจุดไหม
ถ้าทุกบ้านมีปืนที่ยุ่งเลย เพราะปืน 80-90 เปอร์เซ็นต์ ไม่เคยเอาไว้ป้องกันตัวเอง ปืนเป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ถูกฝึกมาแล้ว ถ้าคนปกติมีปืนนี่มันอีกเรื่องเลย ถ้าเราขับรถเข้าไปในห้าง เราไม่คืนบัตรจอดรถ แล้วพนักงานรปภ.ยิงเราล่ะ เขานึกว่าเขามีอำนาจ คนที่ขับรถแซงกันถึงลงมายิงกันไง พอมีปืนก็นึกว่าตัวเองมีอำนาจ ไม่มีประเทศไหนเขาแก้ปัญหาด้วยการแจกปืนหรอก

เหตุการณ์นี้จะบานปลายกลายเป็นสงครามได้ไหม
สิ่งที่น่าห่วงก็คือเมื่อไหร่ที่ฆ่าพระ ฆ่าคนตามถนนได้ คนที่ทำอย่างนี้ได้ต้องมีความเชื่อว่านี่คือสงคราม ไม่มีใครฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้จักได้ ยกเว้นทำสงครามกับศัตรู ไม่ได้ดูว่าเป็นคนบริสุทธิ์หรือไม่ แต่เป็นคนอีกชาตินึง ถึงทิ้งระเบิดตายกันเป็นเบือ ฆ่ากันเป็นหมื่นเป็นแสนได้เพราะเป็นสงคราม สภาพแบบนี้น่าห่วงแสดงว่าคนฆ่าต้องคิดว่าเขาอยู่ในภาวะสงครามแล้ว

ข้อมูลเหล่านี้คนที่อยู่ในพื้นที่อย่างสส. หรือสว. ใน 3 จังหวัดก็น่าจะทราบ แต่ทำไมถึงไม่ออกมาเคลื่อนไหวอะไร
ทุกคนกลัวถูกอุ้ม ไม่มีใครกล้า ถ้าเขาอยู่ที่นั่นแล้วถูกขีดว่าอยู่ข้างไหน ไม่ว่าอยู่ฝ่ายไหนก็อันตราย
มันทำให้ทุกคนไม่กล้าออกความเห็น ไม่กล้าพูดกับใคร เพราะรัฐบาลปกป้องเขาไม่ได้

การไปเยือนพื้นที่ 3 จังหวัดของนายกฯ ช่วยได้ไหม
ไม่ช่วยหรอก เจ้าหน้าที่ที่นั่นเขารู้จังหวะขั้นตอนที่ควรจะทำ แต่สิ่งที่นายกฯ ทำมันเป็นเรื่องส่วนตัวทางการเมือง ซึ่งมันไปสร้างปัญหาสำหรับคนในพื้นที่ ชาวบ้านเขาจะรู้สึกยังไง เมื่อนายกฯ ได้แสดงต่อคนภาคกลางเหมือนว่าฉันได้ไปเหยียบรังโจร ถ้าที่นั่นมันไม่ใช่รังโจรแล้วคนดีๆ เขาจะรู้สึกยังไง เขาก็กลายเป็นแนวร่วมไป เช่น พูดว่าผมไม่กลัว ผมจะไป แต่ไปถึงก็มีรถเกราะกันกระสุน 2 คัน สลับนั่ง มีทหารเป็นพัน นี่แหละ ผมไม่กลัว ไม่ผิดเลยที่จะมีการรักษาความปลอดภัยแบบนั้นสำหรับนายกฯ แต่ผิดที่พูด พูดทำไม ถ้าพูดแล้วไม่ทำตรงกับที่พูด
คนที่นั่นเขาก็มองเป็นละคร หรือไปถึงหมู่บ้านในช่วงถือศีลอดก็ถามเด็กว่าถือศีลอดเพื่ออะไร เด็กก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง นายกฯ ก็บอกว่า อย่างนี้ผมคงต้องมาสอนศาสนาเอง การพูดถึงศาสนาแบบผิดๆ แบบนี้จะโดยรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่มันทำให้คนมุสลิมเขาขมขื่น

ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ทำไมเราถึงได้ยินแต่เสียงของนายกฯ กับเจ้าหน้าที่รัฐ ทำไมเราถึงไม่ได้ยินเสียงของชาวบ้านผ่านสื่อบ้าง
ต้องบอกก่อนว่าชาวบ้าน 99.5 เปอร์เซ็นต์น่ะเป็นคนดี โจรไม่ต้องให้มันมาพูดหรอก เราต้องให้ชาวบ้านพูดความจริงจะได้รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร พูดถึงความกลัวของเขา พูดถึงความขมขื่นของเขา พูดว่าทำไมถึงเกิดอย่างนี้ แต่ถ้าเขาพูดแล้วไม่ปลอดภัย เขาจะพูดทำไม

แปลว่าสื่อพยายามเสนอข่าวอย่างเป็นกลางแล้ว แต่ชาวบ้านเลือกที่จะไม่พูดเอง
ไม่ใช่ไม่เลือก เขากลัวเพราะญาติเขาถูกยิงตายไปแล้ว สื่อเองก็ไม่ค่อยมีใครเข้าไปลึกมากนัก เพราะฟังภาษาไม่ได้ ไม่เข้าใจวัฒนธรรม คนท้องถิ่นเขาก็อยากออกความเห็นมาก แต่เขาพูดภาษาไทยไม่คล่องก็กังวลว่าจะสื่อสารได้ไม่หมด ตอนนี้มีศูนย์ข่าวอิศราของสมาคมนักข่าวไปตั้งที่นั่น ส่งนักข่าวจากส่วนกลางทุกหน้าข่าวเวียนกันไปอยู่ครั้งละ 2 เดือนทำงานร่วมกับนักข่าวท้องถิ่น ทำข่าวออกมาแล้วหนังสือฉบับไหนจะดึงไปใช้ก็ได้ เป็นศูนย์ข่าวที่เป็นอิสระจากหนังสือพิมพ์ทำให้ไม่อยู่ในอิทธิพลของหนังสือพิมพ์ แต่มันยังช้า กว่าเรื่องจริงจะออกมาได้ก็ต้องรอ 3-4 วัน แล้วข่าวนี้พวกนี้ก็จะไม่อยู่หน้าหนึ่ง ยังไม่สามารถช่วยป้องกันเหตุการณ์จากความเข้าใจผิดได้ แต่ช่วยแก้ความเข้าใจตามหลังได้ สื่อที่ให้ความจริงได้ ณ ที่เกิดเหตุเลยคือวิทยุ ให้ทุกฝ่ายได้พูดความจริงกันหมดว่าตัวเองกำลังคิดอะไรทำอะไร เพราะอะไร จะได้ไม่เข้าใจผิด ไม่ทำอะไรเพราะความกลัว ไม่ให้ใครใช้ข้อมูลเท็จเพื่อไปปลุกระดมใคร ถ้าคนที่นั่นพูดไม่ได้ ก็ให้คนที่อื่นพูดแทนได้ เพราะคนที่อื่นไม่กลัว เขาไม่ได้อยู่ในพื้นที่ วิทยุจะช่วยเรื่องป้องกันเหตุร้ายจากความกลัวได้ ตอนนี้ก็กำลังติดต่อกับผู้บริหารรายการร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้ไปทำรายงานสดจากหมู่บ้านเมื่อเกิดเหตุการณ์ในทันที

มองทางแก้ปัญหาภาคใต้เอาไว้ยังไงบ้าง
ปัญหาที่สำคัญคือข้อมูลความเป็นจริง การไม่รู้ความจริงทำให้เกิดปัญหาเป็นวงจร เริ่มจากการมีพวกศาลเตี้ยอุ้มฆ่า ความคับแค้นทำให้เกิดแนวร่วมโจรมากขึ้น ไปหาข่าวชาวบ้านก็ไม่บอก กลัวทั้งโจรกลัวทั้งพวกศาลเตี้ยเพราะรัฐป้องกันเขาไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ก็เพราะไม่มีข่าว ไม่มีข่าวเพราะมีพวกศาลเตี้ยไปกดขี่เขา ก็ยิ่งเกิดแนวร่วม ถามว่าวงจรนี้จะหยุดที่ไหนก็ต้องหยุดโดยปราบพวกกดขี่ก่อน คนถึงจะบอกความจริงกับเจ้าหน้าที่ที่เสียสละ แล้วทั้งคนกดขี่และโจรก็จะถูกปราบ ถ้ายิ่งปล่อยให้เกิดศาลเตี้ยโดยไม่สอบสวนนี่จบเลย
ผมเสนอทางแก้ปัญหาในสภาว่า อันแรก นายกฯ ต้องขอโทษประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะมันคือการส่งสัญญาณไปยังกระบวนการทั้งหมดว่า ขอโทษ วิธีการเดิมผิดพลาด จะไม่เอาอย่างเดิม
อีกแล้ว ถ้าไม่เริ่มอย่างนี้ก็ไม่มีทางเพราะคนก็ยังรู้สึกว่าเป็นเหมือนเดิม
อันที่สองคือตั้งต้องกลับไปทางเก่า คือต้องตั้งศอ.บต. หรืออะไรที่คล้ายศอ.บต. ออกเป็น พ.ร.บ. มีอำนาจตามกฎหมายที่จะจัดการกับทั้งโจรและคนที่กดขี่ชาวบ้านได้ แล้วที่สำคัญที่สุดผู้นำต้องเป็นคนมีศีลธรรม ต้องเป็นที่ไว้วางใจ ชาวบ้านถึงจะบอกข้อมูล คนนี้ต้องโปรดเกล้าฯ ถ้าแต่งตั้งจากนายกฯ มันเป็นไปไม่ได้ อิหม่ามบางคนบอกว่าไม่รู้จะทำยังไง ทหารให้ไปประชุมก็อยากร่วมมือ แต่พอกลับมาบ้านโจรก็หาว่าเอ็งใช่ไหมที่เป็นคนบอก ถ้าเขาไม่มาร่วมกับเจ้าหน้าที่ก็หาว่าอยู่ฝ่ายโจร เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่มีอะไรป้องกันเขาได้เลย เพราะฉะนั้นต้องมีโครงสร้างที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
โดยรวมคือต้องเปลี่ยนทิศทาง มีองค์กรที่จัดการ และวิธีการจะตามมาเอง ศอ.บต.เป็นการบริหารภาคใต้วิธีพิเศษอยู่แล้ว เคยทำได้ผลมาแล้ว แต่การตั้งศอ.บต.อาจทำให้นายกฯ ไม่ชอบ ถ้านายกฯ ขอโทษก่อนมันก็จบ

เหมือนที่คุณทิววัฒน์เคยเขียนการ์ตูนในกรุงเทพธุรกิจว่า ให้คนไทย 60 ล้านคนพับนก แทนคำขอโทษของคนคนเดียว
ใช่ เราต้องแก้ปัญหาอย่างฉลาด เอาสิ่งที่เขารักมากกว่ามาแก้ปัญหา คือศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้นำศาสนาบอกว่าจบก็คือจบ ถือเป็นการเสียสละเพื่อศาสนา มันต้องใช้สิ่งที่เขารักกว่ามาแก้ คือไม่ว่าเขาจะชอบโจรหรือไม่ชอบ เขาจะชอบชาตินิยมหรือไม่ชอบ แต่เขารักศาสนามากกว่าแน่นอน ไม่ใช่เอาอำนาจที่เขาเกลียดกว่าไปเอาชนะ

ทำไมคนใต้ถึงเคร่งศาสนามากกว่าคนในภูมิภาคอื่นๆ
คงไม่ใช่เคร่ง เรียกว่าสอดคล้องดีกว่า เขาใช้ชีวิตมาอย่างนั้น เป็นชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ในช่วงที่จอมพลป. พยายามให้เขาพูดไทยให้หมด มันก็เกิดปฏิกิริยาที่จะไม่ออกจากศาสนา ปอเนาะก็เป็นสัญลักษณ์ของการต้องรักษา คนก็เลยยึดศาสนากันใหญ่ ยิ่งรัฐพยายามจะให้เลิก คนก็ยิ่งยึด เพราะฉะนั้นวิถีชีวิตของคนที่นี่
จะสอดคล้องกับศาสนามากกว่าที่อื่น

ครอบครัวของผู้สูญเสียที่ได้พบเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนที่ผมเข้าไปในพื้นที่พบว่ามีเด็กที่เป็นระเบิดเวลาเยอะมาก พ่อตาย 1,000 คน อย่างน้อยก็มีเด็กกำพร้า 2,000-3,000 คนแล้วที่พร้อมจะเป็นระเบิดเวลา ไม่ว่าพ่อเขาจะเป็นใคร เขาก็คับแค้น เพราะไม่มีใครมาจัดการ เขาก็คิดจะจัดการเอง และไม่ว่าผู้ที่ตายจะเป็นใคร เป็นเจ้าหน้าที่หรือเป็นโจร แต่เด็กกับผู้หญิงที่เหลืออยู่คือผู้บริสุทธิ์ เราต้องเยียวยาคนกลุ่มนี้ไม่ให้กลายเป็นระเบิดอีก ต้องกันไม่ให้เขากลายเป็นแนวร่วม

ทำยังไง
เราต้องเข้าไปคุยกับเด็ก คุยกับครอบครัว ว่าสังคมนี้ไม่ได้มีแต่คนโหดร้ายที่ฆ่าพ่อเขา ยังมีเพื่อนคนไทย มีคนอื่นๆ อีก เขาจะได้รู้ว่าคนที่ทำกับเขาไม่ใช่ทั้งหมดของสังคมไทย เหมือนอย่างที่เราเดินไปปากซอยถูกตำรวจไถแล้วเราไม่ระเบิดออกมาเพราะเรารู้ว่าทั้งสังคมไม่ได้มีตำรวจคนนี้คนเดียว การเข้าไปคุยกับเขาทำให้พบว่าผู้หญิงมุสลิมที่สามีตายไม่โกรธเลยที่มีคนมาฆ่าสามี เพราะเขาคิดว่ามันเป็นประสงค์ของพระเจ้า ไม่มีใครทำให้ใครตายได้ถ้าพระเจ้าไม่ได้กำหนด เขาคิดว่าสามีเขาได้มีความสุขแล้วที่ได้อยู่ใกล้พระเจ้า เป็นความคิดที่ช่วยเยียวยาได้มาก แต่รุ่นลูกนี่สิ พ่อตาย แม่ซึมเศร้า ถูกมองด้วยความระแวงจากสังคม มีคนมาโกหกเรื่องพ่ออีก
เขารู้มาตลอดว่าพ่อเขาไม่ได้ติดยา แต่มีคนมาบอกว่าพ่อเขาติดยา



เลือกครอบครัวที่เข้าไปหาอย่างไร
ผมมีข้อมูลพื้นฐานที่เป็นตัวบุคคลอยู่แล้วว่าใครเสียชีวิต ใครหาย ใครบาดเจ็บ เพราะผมทำงานให้กรรมการสิทธิมนุษยชน แล้วผมก็ทำงานร่วมกับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีสิบกว่าคน น้องๆ นักศึกษาก็ลงพื้นที่ไปสำรวจก่อนว่าครอบครัวไหนเป็นยังไงบ้าง แล้วเราก็ลงไปเยี่ยมที่นั่นไปตามบ้านเลย ผมไปเยี่ยมมาแล้วสามร้อยกว่าครอบครัว สิ่งที่ต้องทำก็คือการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ช่วยเหลือเรื่องเงินเพราะเอาเข้าจริงๆ ลูกตำรวจที่บอกว่าจะมีเงินให้ 7-8 เดือนก็ยังไม่ได้สักบาท ครูก็ยังต้องกู้เงินทำศพเลย ผมก็เริ่มทำจากทุนส่วนตัว มีเพื่อนมาช่วยบ้าง แล้วก็ตั้งเป็นกองทุนขึ้นในมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ ตั้งใจว่าจะให้เงินปีละสามหมื่นบาทสามปีเป็นพื้นฐานก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องให้เงินทุกครอบครัว เพราะบางครอบครัวก็ต้องการเรื่องสุขอนามัย ต้องการการรักษาพยาบาล ต้องการนมลูก ต้องการยา ต้องการงาน ต้องการทนาย ผมก็ติดต่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ที่อยู่ในอาชีพต่างๆ การที่คนนึงเข้าไปจับมือเป็นเพื่อนว่าทุกข์ยากอะไรช่วยได้ไหม มันสำคัญที่สุด
เรื่องที่สองที่ผมเข้าไปทำก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวเพื่อให้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อคนที่นั่น คนที่นั่นจะได้มีเพื่อน จะได้ไม่กลายเป็นระเบิดเวลา ผมก็ถ่ายทอดโดยการเขียนเรื่อง ชีวิตที่เหลืออยู่ ลงในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ แล้วอีกส่วนก็เขียนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลว่าควรจะเป็นอย่างไร หรือให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ทำถูกต้อง นอกนั้นก็มาทำงานด้านนโยบาย

ในส่วนของภาคประชาชนทั่วไป เราช่วยอะไรบ้าง
เริ่มต้นเราอย่าเพิ่งไปสรุป ต้องเริ่มต้นด้วยการเข้าหาข้อเท็จจริงก่อน เมื่อเราสัมผัสข้อเท็จจริงเราจะพบทั้งความจริงแท้ของเรื่องและหน้าที่ของเราต่อสิ่งนั้น แล้วเราจะพบความสุขเสมอ สิ่งที่ทำได้ก็คือการช่วยเยียวยาไม่ให้เกิดระเบิดเวลา แล้วก็เป็นเพื่อนกัน เมื่อสามีเขาตาย เขาก็อาจจะมีปัญหาเรื่องการเลี้ยงชีพ คนที่นั่นอยู่ด้วยเงินไม่มากเพราะเป็นเศรษฐกิจพอเพียง เดือนละ 2 พันบาทก็พอแล้ว ครอบครัวที่มีลูก 9 คนก็อยู่ได้แล้ว เพราะรายได้ปกติก็สัก 4 พันบาท แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเลยเพราะสามีตาย ใครจะส่งมาที่กองทุนก็ได้ แต่ถ้าช่วยตรงครอบครัวสู่ครอบครัวก็จะเป็นการสร้างเพื่อนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เป็นเพื่อนกันทีละครอบครัว ครอบครัวที่แข็งแรงได้ช่วยเหลือครอบครัวที่อ่อนแอกว่า มันก็ได้ตอบแทนกันทั้งคู่ ทางโน้นได้เงิน ทางนี้ลูกเต้าได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มีครอบครัวนึงบอกว่ามีประโยชน์มากต่อลูกเขา เพราะลูกของครอบครัวผู้สูญเสียกับลูกเขาอายุใกล้ๆ กัน ลูกเขาจะได้รู้จักการทำหน้าที่ต่อคนยากลำบากกว่าตั้งแต่เล็กๆ มันเล็กน้อยมากเลย แค่ส่งหนังสือ ดินสอ สมุดวาดเขียนให้ ครอบครัวคนเมืองมักจะขาดเรื่องคุณค่าทางจิตใจ มักด้อยโอกาสที่จะทำให้รู้ว่าตัวเองมีคุณค่าอะไรบ้าง ถ้าได้ทำสักครั้ง ลูกเขาจะรู้เลยว่าควรจะทำอะไรต่อ

ถ้าทุกอย่างยังดำเนินต่อไปอย่างนี้ กรณีที่แย่ที่สุด ปัญหาภาคใต้จะไปจบที่ตรงไหน
ถ้ายังปล่อยให้มีการอุ้มฆ่าอยู่ พวกขบวนการจากต่างประเทศที่รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลญาติพี่น้อง เขาก็จะเข้ามา ถ้ากลุ่มนี้เข้ามาอเมริกาก็ต้องเข้ามา ศัตรูเขานี่ แล้วมันก็จะกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สหประชาชาติก็ต้องเข้ามา แล้วก็นำไปสู่การลงประชามติ กลายเป็นว่ารัฐช่วยทำหมดเลย โจรมันแค่ยั่วเท่านั้นเอง


ถ้าได้เจอกับแกนนำโจรภาคใต้ คุณอยากจะบอกอะไรกับเขา
บาปกรรม เลิกซะเถอะที่ทำเนี่ยตกนรกแน่นอน ฆ่าคนบริสุทธิ์มันไม่ดีหรอก หลอกตัวเอง หาทางออกอื่นเถอะ แต่คนที่ควรจะบอกมากกว่าก็คือ คนที่ทำศาลเตี้ยอุ้มฆ่า อันนี้อันตรายกว่าเพราะมีอำนาจ สรุปว่าทั้งสองฝ่ายต้องเลิก ถ้าเราไม่ลงโทษทั้งสองฝ่าย ประชาชนจะลำบาก

ที่ผ่านมาเรามักได้ยินข่าวเรื่องภาคใต้ต่างๆ นานา ตรงกันบ้าง ต่างกันบ้าง เหมือนกับว่าความจริงมีหลายชุด ถ้ามีคนกำลังตั้งข้อสงสัยกับความจริงฉบับคุณโสภณ คุณจะบอกเขายังไง
ผมก็ไม่ทราบจะบอกยังไง ผมเชื่อว่าไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ เราต้องเข้าไปสู่ข้อเท็จจริงก่อน ไม่ใช่ว่านายกฯ บอกเชื่อผมเถอะแล้วก็เชื่อ พระพุทธเจ้าบอก อย่าเชื่อตถาคต ให้ทำด้วยการปฏิบัติโดยการเข้าถึงความจริงแล้วจะพบหน้าที่ ผมก็ใช้วิธีแบบพระพุทธเจ้า เข้าไปในพื้นที่ เข้าไปหาครอบครัวเลย ไม่ฟังราชการ ไม่ฟังองค์กร ไม่ฟังเอ็นจีโอ เราจะรู้เรื่องทั้งหมดเลยถ้าเราเข้าไปที่ครอบครัว คนที่นั่นเขาอยู่อย่างมีความสุขมาเป็นร้อยปีนะ อาจจะมีระเบิดสถานีรถไฟ แต่ก็ไม่เคยฆ่ากันแบบนี้ เพิ่งมามีสมัยรัฐบาลชุดนี้ แล้วจะให้ผมเชื่อรัฐบาลชุดนี้ได้ยังไง
ในหลวงบอกคนที่นั่นเป็นคนดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถบอกคนที่นั่นเป็นคนดี ป๋าเปรมบอกคนที่นั่นเป็นคนดี ผมก็บอกอย่างนั้น เพราะผมไปพบแบบนั้น ผมไม่ได้คิดว่ามีข้างไหนทั้งนั้น มีแต่คนดีกับคนเลว คนเลวมันก็มี
ทุกศาสนาทุกเชื้อชาติ อย่าไปแบ่งพวก ให้แบ่งคนดีกับคนเลว
สำหรับรัฐบาลผมก็บอกเท่าที่จะบอกได้ ผมเป็นแค่คนคนนึงที่เพียงทำหน้าที่มนุษย์ สิ่งที่ผมทำทั้งหมดคือการทำหน้าที่มนุษย์ ไม่ใช่เรื่องของตำแหน่งใดๆ ทั้งนั้น ผมไม่ยอมให้ตำแหน่งหรืออะไรก็ตามมาจำกัดหน้าที่นี้ของผมเด็ดขาด บางคนมีความรู้สึกว่าถ้าเราไปพูดว่ากล่าวคนที่มีอำนาจจะไม่ดี แค่ทำให้คนมีอำนาจไม่พอใจ
นี่มันแรงแล้วหรือ แล้วที่คนมีอำนาจไปทำให้เขาตาย เจ็บ พิการ เป็นพันเป็นหมื่น นี่มันยิ่งกว่าไม่ดีอีกนะ

หน้าที่ของมนุษย์ที่คุณหมายถึงคือ
ยกตัวอย่าง แม่วิ่งลงทะเลไปช่วยลูกตอนสึนามิมา เป็นความสุขของแม่ที่ได้ทำ ดีกว่าไม่ได้ทำ ถ้าแม่วิ่งหนีแล้วลูกตาย ที่เหลือทั้งชีวิตจะเป็นนรก เมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์ทำตรงหน้าที่เราจะไม่พบความกลัว เราจะพบแต่ความสุขเสมอ ความเป็นมนุษย์หมายถึงการได้ทำหน้าที่ที่ควรจะทำ มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่ธรรมชาติของสัตว์ตัวที่แข็งแรงจะกินตัวที่อ่อนแอ แต่ธรรมชาติของมนุษย์ที่สูงกว่าสัตว์ก็เพราะมนุษย์มีสำนึกได้ว่าตัวเองมีหน้าที่ต่อผู้ที่อ่อนแอกว่า เราถึงเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ไปหากินกับคนจน หากินกับเด็ก หากินกับการพนัน หากินกับคนป่วย ด้วยการท่องคาถาว่าต้องใช้กลไกตลาด ต้องแข่งขันอย่างเป็นธรรม คนแข็งแรงกับคนอ่อนแอแข่งกันมันจะเป็นธรรมได้อย่างไร






สนใจช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียผ่านมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์และมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว โทร 0-1641-0416, 0-1831-4896

Tips 4 google

Tips ทีเด็ด Google
1. Google จะใช้ and (และ) อยู่ในประโยคเสมอ เช่น ค้น หา Ohm the handsome back to her
จะ ค้นหาแบบ ohm AND handsome AND back...(พูดง่ายๆคือค้นหาแบบแยกคำ)
2. การใช้ OR (หรือ) คือการให้ Google หาข้อมูลมากขึ้นจาก คำA และ คำB
(พูดง่ายๆ คือนำผลที่ได้มา รวมกันรวมกัน) วิธีใช้ พิมพ์ OR ด้วยตัวใหญ่ระหว่างคำที่ต้องการ
เช่น vacation london OR paris คือหาทั้งใน London และ Paris
3. Google จะละคำทั่วๆไป (เช่น the, to, of)และตัวอักษรเดี่ยว เพราะจะ ทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำ
พวกนั้นสามารถช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้น ก็ต้องใช้ เครื่องหมาย +ช่วยโดยนำไปอยู่หน้าคำนั้น
(ต้องเว้นวรรคก่อนด้วย) เช่น back +to nature
4. Google สามารถกันขอบเขตการค้นหาให้เล็กลงด้วยการใช้Advanced Search
หรือ การค้นหาแบบพิเศษ ใน Google ภาษาไทย
5. Google สามารถ ตัดคำพ้องรูปได้โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วยโดยการนำไปอยู่คำที่จะตัดเช่น
คำว่า bassมี 2 ความหมายคือ เกี่ยวกับปลา และดนดรีเราจะตัดที่มีความหมาย เกี่ยวกับดนตรีออกโดยพิมพ์ bass -music หมายความว่า bass ที่ไม่มีคำ ว่า music นอกจากนี้มันยังสามารถตัดอย่างอื่นได้อีกเช่น "front mission 3" -filetype:pdf หมายความว่า เรื่องเกี่ยวกับ front mission 3 แต่ไม่แสดง ไฟล์ PDF
6. การค้นหาแบบทั้งวลี (คือการค้นหาทั้งกลุ่มคำ) ให้ใช้ เครื่องหมาย " " เช่น "Breath of fire IV"
7. Google สามารถแปลเวป ภาษา Italian, French, Spanish,German, และ Portuguese เป็นภาษาอังกฤษได้
(โดยคลิ้กที่คำว่า "Translate this page"ด้านข้างชื่อ เวป)
8. Google สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นๆที่ไม่ใช่ HTML ได้ประเภท ไฟล์ที่รองรับคือ
Adobe Portable Document Format (pdf) Adobe PostScript (ps) Lotus 1-2-3 (wk1, wk2, wk3,
wk4, wk5, wki, wks, wku)Lotus WordPro (lwp) MacWrite (mw) Microsoft Excel (xls)
Microsoft PowerPoint (ppt) Microsoft Word (doc) Microsoft Works (wks, wps, wdb)
Microsoft Write (wri)Rich Text Format (rtf)Text (ans, txt) วิธีใช้ filetype:นามสกุลของไฟล์ เช่น
"Chrono Cross" filetype:pdf หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF
และมันยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบของ HTML ได้ (โดยคลิ้ก View as HTML หรือ รูปแบบ HTML
ใน Google ไทย)
9. Google สามารถ เก็บ Cached ของเวปที่จะเข้าชมไว้ได้(โดยคลิ้กที่ Cached หรือ ถูกเก็บไว้ ใน Google
ภาษาไทย)ประโยชน์ของมันคือช่วยให้เราสามารถเข้าเวปบางเวปที่อาจ โดนลบไปแล้ว โดยข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลก่อน
ถูกลบ (ใหม่สุดที่มันจะมี ได้)
10.Google สามารถค้นหาหน้าที่คล้ายกัน (โดยคลิ้ก Similar pages หรือ หน้าที่คล้ายกัน ใน Google ภาษาไทย)
โดยจะค้นหาข้อมูลที่คล้ายๆ กันให้ เรา เช่นถ้าเรากำลังหาข้อมูลการวิจัย ความสามารถนี้จะ ช่วยให้หาข้อมูลได้มากมาย
ในเวลาที่รวดเร็วโดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่อง keyword
11.Google สามารถค้นหา link ทั้งหมดที่เชื่อมไปยังเวปนั้นได้วิธีใช้ link:ชื่อ URL เช่น
link:target="_blank">http://www.google.com/
และคุณไม่สามารถใช้ความสามารถนี้ร่วมกับการหาแบบ อื่นๆ ได้
12.Google สามารถค้นหาเวปที่จำเพาะเจาะจงได้ โดยพิมพ์ คำที่คุณต้องการเจาะจง
site:ชื่อ URLเช่น>> ถ้าคุณต้องการหาเวปเกี่ยวกับการ เข้า (admission) มหาวิทยาลัย Stanford
ให้พิมพ์admissionsite:http://www.stanford.edu/
13.ถ้าคุณมีเวลาน้อย (และคิดว่าโชค ดี) Googleมีบริการการค้นหาด่วน (ชื่อบริการ I'm Feeling>> Lucky)
โดย ที่ Google จะนำเวปที่อยู่ลำดับแรกของการค้นหาส่งให้คุณเลย (link ไปเวปนั้นให้ เสร็จ)เช่น
คุณต้องการค้นหาเวปมหาวิทยาลัย Stanford อย่างด่วนให้ พิมพ์ Stanford แล้วกดI'm Feeling Lucky
หรือ โชคเข้าข้างเราแน่ ใน Google ไทย
14.Google สามารถหาแผนที่ของสหรัฐอเมริกาได้โดยพิมพ์ ที่อยู่ชื่อ ถนน พร้อมด้วยชื่อรัฐเช่น
165University Ave Palo Alto CA Google จะจัดการส่งแผนที่คุณภาพสูงมาให้คุณ
15.Google สามารถหาเบอร์โทร (เฉพาะ อเมริกา) หรือพิมพ์เบอร์โทรแล้วหาบริษัทได้โดยพิมพ์
first name (or first initial), last name, city (state is optional)first name (or first initial),last name, state first name (or first initial), last name, area code first name(or first initial), last name, zip code phone number, including area code>> last name,city, state last name, zip code แล้วแต่ว่าคุณจะใช้แบบไหน
16.Google สามารถค้น หา Catalog สินค้าได้ เข้าไปที่ http://catalogs.google.com/
17.Google สามารถเก็บข้อมูลลักษณะการใช้ที่คุณต้องการได้โดยเข้า ไปที่ Preferences
หรือ ตัวเลือก ในGoogle ไทย.

สารเคมีตกค้างในน้ำ-ผลไม้

อยากเตือนผู้ที่ชอบดื่มน้ำส้ม/องุ่น เป็นประจำ <<>>อยากจะเล่าประสบการณ์ให้ฟัง>>ปกติเป็นคนชอบทานน้ำผักผลไม้กล่องทุกเช้า>>วันละแก้วสูงเต็มแก้ว ก็ทานอยู่หลายยี่ห้อสลับกันไป>>แล้วก็เป็นคนชอบทานผลไม้ด้วย>>ทานประจำทั้งกลางวันและเย็นหลังอาหาร>>ก็ไม่ได้เยอะมาก ส่วนมากก็ทาน ส้ม ฝรั่ง>>เป็นหลักเพราะหาซื้อง่ายและราคาถูก>>เมื่อสักประมาณสองเดือนที่แล้ว เกิดอาการท้องอืด>>เหมือนอาหารไม่ย่อย
>>ก็ทานยาลดแก๊ส ยาธาตุ>>น้ำขิง ก็พอประทังแต่ไม่หาย เป็นอยู่สามวัน ก็ทนไม่ได้>>ไปหาหมอที่รักษาประจำ>>เล่าอาการให้หมอฟังเสร็จ หมอถามว่าดื่มน้ำผลไม้หรือเปล่า>>ก็ตอบว่าดื่มประจำ>>กินผลไม้รึเปล่า ก็ตอบว่ากินประจำ โดยเฉพาะส้มกับฝรั่ง>>แล้วก็ตรวจเช็คร่างกาย หมอบอกว่ารู้แล้วว่าเป็นอะไร>>อาหารเป็นพิษ คือร่างกาย>>สะสมสารพิษจากพวกยาฆ่าแมลงจนถึงจุดที่มันแสดงอาการ>>หมอบอกว่า ส้มเป็นผลไม้ที่ใช้สารเคมีเป็นอันดับต้นๆ>>นอกจากนั้นก็พวกฝรั่ง แครอท องุ่น ผักคะน้า อีกหลายชนิด>>หมอบอกว่าเวลาในโรงงานเค้าผลิต>>เค้าไม่ปอกเปลือกหรอกคั้นกันทั้งเปลือก ไม่ว่าจะส้ม>>องุ่นและฝรั่ง เวลาล้าง มันกำจัดสารเคมีได้ไม่หมดหรอก>>มันก็ไปตกค้างในน้ำผลไม้ที่เราดื่ม แต่ว่า>>ปริมาณที่ตกค้างแต่ละขวดมันไม่สามารถทำให้เกิดอาการได้ทันที>>แต่จะสะสมไว้ในร่างกาย ถ้ามีมากๆ ก็จะสะสมไว้ในตับ>>แล้วพวกน้ำส้มที่เค้าคั้นขายสด>>ก็ไม่ควรดื่มเพราะนอกจากจะมีสารเคมี>>พวกยาฆ่าแมลงตกค้างแล้ว ตัวเครื่องที่ใช้คั้นก็เป็นตัวสะสมแบคทีเรีย>>เพราะแม่ค้าเค้าคั้นตั้งแต่เช้า กว่าจะล้างก็เย็นช่วงระหว่างวัน>>อากาศเมืองไทยร้อน ทำให้พวกแบคทีเรียเจริญเติบโตได้เร็ว>>หมอเค้าก็ให้ยาแก้อาหารเป็นพิษมา>>บอกว่าถ้าทานยาไปสักระยะแล้วไม่หาย ต้องมาหาหมออีก>>ต้องเจาะเลือดดูตับว่ามีสารพิษตกค้างอยู่มากขนาดไหน>>แต่เราโชคดี ทานยาไปไม่กี่วันอาการก็ดีขึ้น หลังจากไปหาหมอ>>เราเลิกกินน้ำผักผลไม้ทุกชนิด ส่วนส้มกับฝรั่ง นานๆ กินที>>หันไปทานพวก apple สับปะรดกับมะละกอแทน ก็ฝากเตือนเพื่อนแล้วกันนะคะ>>แล้วก็มีแก๊ส ในกระเพาะเยอะมาก ผะอืดผะอมแต่ท้องไม่เสีย>>ก็ทานยาลดแก๊ส ยาธาตุ>>น้ำขิง ก็พอประทังแต่ไม่หาย เป็นอยู่สามวัน ก็ทนไม่ได้>>ไปหาหมอที่รักษาประจำ>>เล่าอาการให้หมอฟังเสร็จ หมอถามว่าดื่มน้ำผลไม้หรือเปล่า>>ก็ตอบว่าดื่มประจำ>>กินผลไม้รึเปล่า ก็ตอบว่ากินประจำ โดยเฉพาะส้มกับฝรั่ง>>แล้วก็ตรวจเช็คร่างกาย หมอบอกว่ารู้แล้วว่าเป็นอะไร>>อาหารเป็นพิษ คือร่างกาย>>สะสมสารพิษจากพวกยาฆ่าแมลงจนถึงจุดที่มันแสดงอาการ>>หมอบอกว่า ส้มเป็นผลไม้ที่ใช้สารเคมีเป็นอันดับต้นๆ>>นอกจากนั้นก็พวกฝรั่ง แครอท องุ่น ผักคะน้า อีกหลายชนิด>>หมอบอกว่าเวลาในโรงงานเค้าผลิต>>เค้าไม่ปอกเปลือกหรอกคั้นกันทั้งเปลือก ไม่ว่าจะส้ม>>องุ่นและฝรั่ง เวลาล้าง มันกำจัดสารเคมีได้ไม่หมดหรอก>>มันก็ไปตกค้างในน้ำผลไม้ที่เราดื่ม แต่ว่า>>ปริมาณที่ตกค้างแต่ละขวดมันไม่สามารถทำให้เกิดอาการได้ทันที>>แต่จะสะสมไว้ในร่างกาย ถ้ามีมากๆ ก็จะสะสมไว้ในตับ>>แล้วพวกน้ำส้มที่เค้าคั้นขายสด>>ก็ไม่ควรดื่มเพราะนอกจากจะมีสารเคมี>>พวกยาฆ่าแมลงตกค้างแล้ว ตัวเครื่องที่ใช้คั้นก็เป็นตัวสะสมแบคทีเรีย>>เพราะแม่ค้าเค้าคั้นตั้งแต่เช้า กว่าจะล้างก็เย็นช่วงระหว่างวัน>>อากาศเมืองไทยร้อน ทำให้พวกแบคทีเรียเจริญเติบโตได้เร็ว>>หมอเค้าก็ให้ยาแก้อาหารเป็นพิษมา>>บอกว่าถ้าทานยาไปสักระยะแล้วไม่หาย ต้องมาหาหมออีก>>ต้องเจาะเลือดดูตับว่ามีสารพิษตกค้างอยู่มากขนาดไหน>>แต่เราโชคดี ทานยาไปไม่กี่วันอาการก็ดีขึ้น หลังจากไปหาหมอ>>เราเลิกกินน้ำผักผลไม้ทุกชนิด ส่วนส้มกับฝรั่ง นานๆ กินที>>หันไปทานพวก apple สับปะรดกับมะละกอแทน ก็ฝากเตือนเพื่อนแล้วกันนะคะ

พญานาคเล่นน้ำ เคยเห็นไหม?



ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งในชั่วอายุคน ชาวเขมรจำนวนหนึ่งนำไปโยงเข้ากับเหตุการณ์ "อาเพศจระเข้เผือก" เมื่อ 31 ปีก่อนที่ทำให้รัฐบาลพังทลาย และกัมพูชาเข้าสู่ยุคฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายใต้ระบอบเขมรแดง
นักอุตุนิยมวิทยาอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพียงเหตุการณ์ทางธรรมชาติ เป็นเรื่องของคลื่นค วา มกดอากาศต่ำไปปะทะกับคลื่นค วา ม กดอากาศสูงอย่างกะทันหันเหนือท้องน้ำ ทำให้เกิดมีไอน้ำรวมตัวกันและถูกพัดหมุนเป็นเกลียวขึ้นสู่ท้องฟ้าค วา มสูงกว่า 100 เมตร ดูคล้ายกับพายุทอร์นาโด
เหตุการณ์เกิดขึ้นในอาณาบริเวณที่แม่น้ำโขงกับแม่น้ำ ทะเลป่าสัก ( Tonle Bassac) ไหลไปบรรจบกันในเขตรอบนอกกรุงพนมเปญ อันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เกิดบ่อยนัก และบังเอิญไปคล้องจองกับตำนานพญานาคเล่นน้ำของชาวเขมร
ภาพเหตุการณ์ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างข วา งทั่วกัมพูชา เนื่องจากมีค วา มสวยงามพอๆ กับค วา มแปลกประหลาด น่าอัศจรรย์ใจ

Thursday, October 26, 2006

An Inconvenient Truth สัญญาณเตือนพิบัติโลก

An Inconvenient Truth สัญญาณเตือนพิบัติโลก>>20 กันยายน 2549 16:16 น.>>"เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าเวลานักการเมืองพูดอะไรออกมา >>ต้องเอาสองหารแล้วใส่ตระแกรงร่อน ที่เหลือคือ ความจริง แต่สำหรับ An >>Inconvenient Truth ที่ออกมาจากปากผู้ที่เกือบจะได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 43 >>แห่งสหรัฐ คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทีมข่าวสิ่งแวดล้อม >>ร่วมเปิดเผยความจริง">>>>กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :>>สหรัฐเคยมีประธานาธิบดีที่อดีตเคยเป็นดาราภาพยนตร์อย่างพระเอกคาวบอย โรนัลด์ >>เรแกน แต่สำหรับอัล กอร์>>กลับเป็นอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงภาพยนตร์ที่เปิดโปงความจริงให้โลกตระหนักถึงภาวะโลกร้อน>>อัล กอร์ รับบทเป็นตัวเขาเองในภาพยนตร์เรื่อง An Inconvenient Truth >>ที่มีความยาว 94 นาที>>บางคนอาจจะอยากรู้ว่าหลังจากเขาพ่ายการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับจอร์จ >>บุช แล้ว วิถีชีวิตของเขาดำเนินไปอย่างไร หรือไม่อยากรู้ก็ไม่เป็นไร >>เพราะเนื้อเรื่องที่เขานำมาเสนอน่าสนใจกว่า>>>> ผีเสื้อขยับปีก>> ภาพโคลสอัพจับไปที่ หมีขาวขั้วโลก ที่กำลังพยายามตะเกียก >> ตะกายว่ายน้ำ เพื่อขึ้นไปอยู่บนแผ่นน้ำแข็งเล็กๆแผ่นหนึ่ง >> แต่มันตกลงมาอีกครั้งพร้อมกับแผ่นน้ำแข็งที่แตกกระจายออกไป ดูเหมือนว่า>>>> >ความพยายามของมันจะไม่มีที่สิ้นสุด มันว่ายน้ำ ไปหาแผ่นน้ำแข็งแผ่นใหม่>>ขณะที่กล้องค่อยๆ แพนภาพให้เห็นในมุมกว้าง >>แผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กน้อยที่หมีขั้วโลกกำลังปีนปาย >>เป็นเพียงจุดเล็กกลางมหาสมุทร>>>> ...มันต้องว่ายน้ำอีกไกลแค่ไหน>>จึงจะถึงแผ่นน้ำแข็งที่เคยเป็นบ้านที่อบอุ่น ... ความพยายามของหมีขาวขั้วโลก >>ให้ทั้งความรู้สึกหวาดหวั่น และลุ้นระทึกกับผู้ชมที่เข้ามานั่งดู>>>>หนังสารคดีเล็กๆ An Inconvenient Truth ซึ่งจัดขึ้น โดย ภาควิชาฟิสิกส์ >>คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใครจะไปคิดว่า>>>>น้ำแข็งขั้วโลกที่ติดกันเป็นแผ่นใหญ่สีขาวโพลนจะกลายเป็นเวิ้งมหาสมุทรและมีเศษแผ่นน้ำแข็งชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจาย>>>> หลังจากการพ่ายการแข่งขันชิงประธานาธิบดีในปี ค.ศ.2000 อัล >> กอร์ พลิกบทบาทตัวเองเป็นพระเอกนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม>>>>ตีแผ่เรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาวิกฤตการณ์โลกร้อนอย่างแจ่มแจ้ง >>ตั้งแต่จุดแรกของปัญหาโลกร้อน ไปจนถึงบทอวสานของโลก>> >ที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาอีกไม่กี่สิบปี>>>> ต้องยอมรับว่า>>มีนักการเมืองของสหรัฐไม่กี่คนที่เข้าใจปัญหาโลกร้อน อัล กอร์ >>คือไม่กี่คนในจำนวนนั้น>>เขาเป็นนักสิ่งแวดล้อมที่ได้รับตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง >>ในฐานะรองประธานาธิบดีสมัยรัฐบาลบิล คลินตัน>>เขาผลักดันให้เกิดการประชุมพิธีสารเกียวโตว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ >>ในปี ค.ศ.1997 >>เพื่อให้ประเทศที่พัฒนาแล้วร่วมลงสัตยาบันรับมือกับปัญหาโลกร้อน >>โดยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ >>ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ อันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น>>>> อัล กอร์ ปรากฏตัวบนเวทีด้วยบุคคลิกที่เป็นกันเอง >> และพกพาอารมณ์ขันเรียกเสียงหัวเราะแก่ผู้ฟังโดยบอกว่า>>" I'm Al Gore. I used to be the next president of the United States" >>แต่สิ่งเขาตั้งคำถามต่อมา>> >พร้อมกับนำเสนอข้อมูลและต้นเหตุของภัยพิบัติที่เกิดในรอบทศวรรษ>>พลันเสียงในห้องสัมมนาเงียบกริบ สลับกับเสียงถอนลมหายใจ>>เขาถามว่า "แล้วเราจะเหลืออะไรเอาไว้ให้ลูก >>หากว่าชั้นบรรยากาศที่บอบบางที่สุดในระบบนิเวศของโลกไม่ทำหน้าที่กรอง >>แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องทะลุชั้นบรรยากาศมายังพื้นผิวโลก >>และนำความอบอุ่นมาให้>>>> >แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหากอุณหภูมิโลกร้อนเกินไป">>>>เป็นความจริงที่ว่า สิ่งมีชีวิตบนโลกดำรงอยู่ได้เพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ >>และก๊าซอื่นๆ>>ห่อหุ้มโลกไว้ทำให้โลกอบอุ่นและน่าอยู่ แต่การเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากฟอสซิล >>ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมัน ตลอดจนการหักล้างทำลายป่า >>ยิ่งเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมากขึ้น >>และอุณหภูมิโลกยิ่งสูงขึ้น>>>> สารคดี ได้ฉายภาพเปรียบเทียบน้ำแข็งทั่วโลก >> จากภาพถ่ายเทือกเขาคีรีมันจาโรเมื่อสามสิบปีก่อน>>ที่มีน้ำแข็งปกคลุมบนยอดเขามากมาย กับภาพปัจจุบันที่มีน้ำแข็งเหลือน้อยมาก >>จนนักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ถึงสิบปีเทือกเขาแห่งนี้จะไม่มีน้ำแข็งอีกต่อไป>>>>ธารน้ำแข็งตามเทือกเขาต่างๆ ที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว >>ตั้งแต่เทือกเขาแอนดิสในอาร์เจนตินา ชิลี>>ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์ และเทือกเขาหิมาลัย >>น้ำแข็งจากเทือกเขาหิมาลัยเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญ 7 สาย >>แต่อีกไม่ถึงห้าสิบปี >>ประชากรที่พึ่งพิงแหล่งน้ำเหล่านี้จะเผชิญกับการขาดแคลนน้ำจืดอย่างรุนแรง>>>>อัล กอร์ >>ได้นำภาพเส้นกราฟแสดงอุณหภูมิที่สูงขึ้นแผ่กระจายไปตามเมืองใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน >>ในปี ค.ศ.2003 คลื่นความร้อนได้ทำให้คนในยุโรปตายไปถึง 35,000 คน >>อุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้น และเกิดพายุรุนแรงและถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไต้ฝุ่น >>เฮอร์ริเคน ไซโคลน >>หลายร้อยลูกที่พัดกระหน่ำชายฝั่งทั่วโลกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน >>โดยเฉพาะพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่พัดกระหน่ำเมืองนิวออร์ลีนส์ในเดือนสิงหาคม >>2005 สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์มีคนตายกว่า 2 พันคน >>และทรัพย์สินเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ>>>>ข้อมูลที่สำคัญคือภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกา>>ขั้วโลกเหนือ และเกาะกรีนแลนด์ ซึ่งหากน้ำแข็งละลายหมด >>ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงถึง 6 เมตร >>อดีตรองประธานาธิบดีได้ใช้กราฟแสดงให้เห็นว่า >>สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้นคือ >>ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว >>ใส่ลูกเล่นในการนำเสนอเรื่องโดยนำเอารถเครนมายกตัวเองขึ้นตามเส้นกราฟที่พุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา>>>>แน่นอนว่า หากถึงเวลานั้น กรุงเทพฯ นิวยอร์ก ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ >>จมน้ำไปครึ่งหนึ่ง บังกลาเทศอาจหายไปจากแผนที่โลก >>และประชากรนับพันล้านคนจะไม่มีที่อาศัย>>>> โลกร้อน เรื่องจริงหรือนิยาย>>>>อย่างไรก็ตาม ภาวะโลกร้อน ยังคงเป็นข้อถกเถียงว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ >>โดยสารคดีได้บอกถึง>>ความพยายามของ บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ที่พยายามทำให้คนทั่วไปเชื่อว่า >>โลกร้อนเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นจริง >>และเมื่อเป็นแค่ทฤษฎีก็ไม่ต้องเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริงเสมอไป >>ถึงตอนนี้หนังได้นำเอาภาพการ์ตูน ที่เปรียบเทียบ >>กบกำลังลอยอยู่ในหม้อหุงต้มที่กำลังเปิดเตาแก๊ส ตอนที่หม้อยังไม่ร้อน >>กบก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อน้ำร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนเดือดปุดๆ >>กว่ากบจะรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว>>>> อัล กอร์ พยายามจะบอกว่า โลกร้อน เป็นเรื่องของผลกระทบระยะยาว >> ไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะเห็นผล >> แต่เมื่อปรากฏผลแล้วก็สายเกินแก้ สารคดีจบลงด้วยคำถาม >> ถึงเวลาหรือยังที่เราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนร่วมกัน >> ซึ่งคำถามจึงย้อนกลับมาที่ประเทศไทยว่า >> เราพร้อมหรือตระหนักแค่ไหนกับภาวะโลกร้อน >> "เราจะเป็นกบที่ลอยในหม้อหุงต้มที่เมื่อรู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว >> หรือจะช่วยกันป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป">>>> คำถามเหล่านี้ถูกไขข้อสงสัย หลังจบสารคดี ภาควิชาฟิสิกส์ >> คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำผู้รู้นักคิดมาช่วยกันถกเถียง >> เพื่อย้อนกลับมาดูตัวเอง ประเทศไทยพร้อมแค่ไหนกับภาวะโลกร้อนขึ้น >> มีสัญญาณอะไรที่เตือนภัย ได้ว่า โลกร้อนขึ้นไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎี >> หากเป็นเรื่องจริงที่ต้องระมัดระวัง>>>> รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล ภาควิชาธรณีวิทยาบอกว่า >> สัญญาณอันตรายเริ่มเกิดขึ้นแล้ว >> โดยจากการศึกษาระดับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกประเทศไทยได้รับผลกระทบแน่นอน >> โดยจะเกิดภูมิอากาศแปรปวนของฤดูกาล ในช่วงฤดูฝน 6 เดือน >> จะมีปริมาณฝนตกเยอะขึ้นและจะมีอุทกภัยเพิ่มขึ้นทุก 20% >> ต่อปีซึ่งในปีนี้เริ่มเห็นแล้วว่า เรามีอุทกภัยมากขึ้น ส่วนฤดูหนาว >> ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านเข้ามาจะทำให้หนาวจัดในบางปี >> และในช่วงนั้นจะเกิดฝนตกหนักในภาคใต้อีกด้วย>>>> "อ่าวไทย ฝั่งตะวันออก ฝนจะตกมากในช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์>>ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติและจะทำให้มีผลต่อพืชผลทางการเกษตรในอนาคต">>>> รศ.ดร.ธนวัฒน์ บอกว่า ไม่เพียงฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น>>ความรุนแรงของภัยธรรมชาติก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน >>โดยเฉพาะพายุไต้ฝุ่นเช่น>>เดิมมีพายุไต้ฝุ่น 2.8 ลูกต่อปี แต่ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 ลูกต่อปี>>ซึ่งในส่วนอ่าวไทยเดิมพายุไต้ฝุ่นเคยพัดผ่านประเทศเวียดนามก่อนที่จะเริ่มอ่อนตัวลงในช่วงที่พัดเข้าไทย>>โดยจะมีพายุที่พัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรง 3-5 ปีต่อ ลูก แต่ในอนาคต>>พายุไต้ฝุ่นจะพัดเข้าสู่อ่าวไทยโดยตรงไม่ผ่านเวียดนาม และอาจจะเกิดขึ้น 1-2>>ปีต่อลูก ซึ่งจะทำให้มีความรุนแรงมากขึ้น ส่วนฤดูร้อนจะร้อนเร็วขึ้น>>ร้อนนานขึ้น และอุณหภูมิสูงขึ้นและยังพบว่าในอีก 10>>ปีข้างหน้าจะมีฟ้าผ่ามากขึ้นในช่วงพายุฤดูร้อน>>>> ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่เริ่มเกิดขึ้นแล้วในไทย >> โดยเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน >> ซึ่งในเรื่องนี้ได้รับการยืนยัน จาก จรูญ เลาหเลิศชัย นักอุตุนิยมวิทยา 8>>>>กรมอุตุนิยมวิทยา บอกว่า จากการเฝ้าดูอากาศพบว่า >>ผลกระทบจากโลกร้อนเกิดขึ้นแล้ว โดยพบว่าพายุมีความรุนแรงมากขึ้น >>ถี่ขึ้นแน่นอน ซึ่งที่น่าสังเกตคือ>>>>ทะเลระดับต่ำกว่า 40 เมตรอย่างอ่าวไทยไม่น่าจะเกิดพายุได้>>เพราะพายุจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อทะเลมีระดับความลึก 50 เมตร >>แต่ปัจจุบันอ่าวไทยเริ่มมีพายุเกิดขึ้นแล้ว>>>>ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่เพียงมีพายุเป็นสัญญาณเตือนเท่านั้น>>วราวุธ ขันติยานันท์ ผู้อำนวยการส่วนฝนหลวง>>สำนักฝนหลวงและการบินยังบอกเช่นกันว่าตลอดระยะเวลาของการทำฝนหลวงมานานกว่า 30 >>ปี พบว่า การรวมตัวของเมฆเปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าจะมีรูปร่างไม่แตกต่างจากเดิม>>>>แต่ความแข็งแรงของน้อยลง เพราะเดิมฐานเมฆจะมีความหนาแน่น>>เพื่อควบคุมอุณหภูมิที่เกิดขึ้นในก้อนเมฆไม่ให้ฝนตกเร็วเกินไป>>แต่ปัจจุบันจะพบว่า เมฆเริ่มอ่อนแอ >>รวมกลุ่มเร็วขึ้นและฝนตกกระจายค่อนข้างเร็วแล้วก็หายไป เรียกว่า>>ก้อนเมฆไม่มีความสมดุล ทำให้ลักษณะของฝนตกแบบพรมๆ แล้วหายไป บางแห่งตกหนัก>>>>ส่วนในระดับใต้ทะเลลึกก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน โดย>>ผศ.ดร.ปราโมทย์ โศจิกร ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล บอกว่า >>อ่าวไทยเป็นทะเลบริเวณที่เรียกว่าเส้นศูนย์สูตร>>เป็นทะเลปิดอยู่นอกเขตการไหลของน้ำมหาสมุทร >>ทำให้ทิศทางการไหลของน้ำจึงขึ้นอยู่กับกระแสลมเป็นหลัก>>ซึ่งอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น กระทบต่อปะการังใต้น้ำแน่นอนหากอุณหภูมิสูงเกิน 33 >>องศา ทำให้เกิดปะการังฟอกขาว ซึ่งเริ่มมีปรากฏการณ์ให้เห็นแล้วในอ่าวไทย >>ที่ปะการังจำนวนไม่น้อยเริ่มฟอกขาวจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น>>>>ปะการังเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอาศัยอยู่ในทะเลตามโขดหิน >>แท้จริงแล้วสีของปะการังเกิดจากสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง >>คือสาหร่ายทะเลขนาดเล็กที่มีชีวิตอยู่ร่วมกับปะการังแบบพึ่งพาอาศัยกัน >>สาหร่ายเหล่านี้มีความไวต่ออุณหภูมิน้ำทะเลมาก >>เพียงอุณหภูมิสูงขึ้นหนึ่งองศาเซลเซียส สาหร่ายจะหยุดสังเคราะห์แสงและตายไป >>สีของปะการังจึงดูซีดขาว>>>>>>ถึงแม้จะมีภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ดหลายเรื่องที่นำเสนอภัยพิบัติทางธรรมชาติ>>โดยเฉพาะเรื่อง The Day After Tomorrow และ The Core>>แต่ทั้งหมดนั้นยังอิงความเป็นดราม่ามากกว่า "ข้อเท็จจริง" แต่สำหรับ An >>Inconvenient Truth>>เป็นภาพยนตร์ที่นำเอารายงานข่าวหายนะภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลกผสมกับข้อมูลจริงเชิงอุตุนิยมวิทยาที่ไม่อาจปฏิเสธได้>>>> ข่าวดีก็คือ มนุษยชาติสามารถแก้ปัญหานี้ได้ >> และเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องทำ>>เพียงแค่เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตบ้างเล็กน้อยในแต่ละวันจะช่วยเพิ่มพูนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเพื่อหยุดภาวะโลกร้อน >>ถึงเวลาแล้วที่เราจะช่วยกันแก้ปัญหาตั้งแต่วันนี้>>>>--------------->>10 วิธีแก้ปัญหาโลกร้อน ง่ายๆ ทำได้ทุกคน>>เปลี่ยนหลอดไฟ จากหลอดกลมหันมาใช้หลอดตะเกียบแทน >>เชื่อไหมว่าลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี>>>>ขับรถน้อยลง หันมาเดิน ขี่จักรยาน บริการขนส่งมวลชน หรือเลือกติดรถเพื่อน >>ทางเดียวกันไปด้วยกัน แค่นี้>>ก็สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ปอนด์ทุกๆ 1 ไมล์ที่เราลดการขับขี่>>>>รีไซเคิลของให้มากขึ้น >>แค่รีไซเคิลขยะในบ้านเพียงครึ่งหนึ่งก็ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 2,400 >>ปอนด์ต่อปี>>>>เช็คลมยาง รักษาระดับลมยางให้เหมาะสม ช่วยประหยัดการใช้น้ำมันได้ถึง 3% >>และการประหยัดน้ำมันในทุกๆ แกลลอน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้ >>20 ปอนด์>>>>ใช้น้ำร้อนน้อยลง เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ละครั้งใช้พลังงานจำนวนมาก >>อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นน้อยลง>>และอย่าเปิดฝักบัวแรงสุด ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 350 ปอนด์

Monday, October 16, 2006

อานิสงค์การทำบุญ

มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ
1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15 นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์ --- เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง
จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร,
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น
เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3. ถวายยารักษาโรคให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์ --- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า
ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
อานิสงส์ --- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า
ไม่ขาดแคลนอาหารตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน
ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง
ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภยศ
สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น
เจ้ากรรมนายเวร
อโหสิกรรมให้
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองแคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง
ครอบครัวเป็นสุข
ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพราหมณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
อานิสงส์ --- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่
ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร
สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป
ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา
จิตเป็นกุศล

8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์ --- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ
ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยากเทพยดาปกปักรักษา
ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์ --- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต
ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป
ให้ทำมาค้าขึ้น
หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด
ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส
เป็นอิสระ
10. ให้ทุนการศึกษา, บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา
ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11. ให้เงินขอทาน, ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์ --- ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า
ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน
ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง
จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12.รักษาศีล 5 หรือศีล 8
อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์
ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
กรรมเวรจะไม่ถาโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย
เทวดานางฟ้าปกปักรักษา

อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์

1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ

อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศล
ดังนี้

1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลายปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อนเมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้ายไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5.จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคลรุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ ( เกินความคาดฝัน)ครอบครัวสุขสันต์วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญสตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10.สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่าง
เอกเขนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

อานิสงส์การบวชพระบวชชีพราหมณ์
( บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร

1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6.จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8.ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจ
ต่างๆก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่ง
เสริมอาสาการให้คนได้บวช

ทั้ง หมด นี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึง
อานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้
เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่าน
ไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด
หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึง
ให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต
ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้
ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ
ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้าง
สมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ

พ่อสอนลูกสาว …………..

พ่อสอนลูกสาว …………..


ในค่ำคืนนึง... หลังจากกราบพระกับคุณพ่อ คุณแม่แล้ว
คุณพ่อเรียกลูกเข้าไปพบแล้วบอกลูกว่าพ่อมีอะไรให้ดูซึ่งสำคัญมาก
ว่าแล้วคุณพ่อก็หยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อเอามือกำไว้
พ่อถามว่าอยากรู้มั้ยว่ามีอะไรในมือพ่อ ลูกพยักหน้า
ถ้าอยากรู้ต้องเอามือเขกพื้น 3 ที ลูกทำตาม... คุณพ่อว่า ไม่พอ ต้อง 5 ที และเปลี่ยนเป็น 10 ที จนถึง 15 ที
จนลูกอุทธรณ์ ก็ลูกอยากทราบนี่คะว่า เป็นอะไร เมื่อคุณพ่อแบมือออก มันคือ
เหรียญ 5 บาทธรรมดานี่เอง
คุณพ่อหัวเราะ ! ! ! แล้วกำมือกับเหรียญ 5 บาทเดิม ถามว่าอยากดูอีกมั้ย ถ้าอยากดูต้องเขกพื้น 10 ที ลูกว่าหนูรู้แล้วไม่อยากดูค่ะ คุณพ่อว่า เอ้า... เขกพื้น 1 ทีก็ได้ ลูกก็บอก ว่าทราบแล้วไม่อยากดูอีกเบื่อ คุณพ่อว่าให้ดูฟรีๆ ก็ได้แล้วก็แบมือออก ลูกก็ดูไปอย่างนั้นเอง

คุณพ่อเลยสอนว่า

“ นี่ละลูก อะไรที่เป็นความลับคนมักยอม ทำทุกอย่างที่จะได้สมปรารถนา
อยากดู อยากรู้ อยากเห็น แต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว ดูบ่อย ๆ แล้วก็มักจะเบื่อ ให้ดูฟรี ๆ ยังไม่อยากดูเลย แล้วสิ่งที่พึงหวงแหนสำหรับลูกผู้หญิงเป็นสิ่งที่มีค่า ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร ไม่ต่างกับเหรียญ 5 บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอก”

เวลาดี 4 เวลาในการดื่มน้ำ

เวลาดี 4 เวลา ใครๆก็ชวน ใครๆก็เสนอแนะให้ดื่มน้ำมากๆ น้ำสะอาดวันละ 6 - 8 แก้ว ดื่มแล้วดีต่อสุขภาพอย่างไรเราจะไม่พูดถึง แต่มีคำแนะนำจากแพทย์จีนท่านแนะนำด้วยหลักการและเหตุผลชวนให้เชื่อ ลองพิจารณาดูก่อนจะรับไปปฏิบัติต่อก็ได้ เวลาดีๆของการดื่มน้ำแบ่งเป็น 4 ช่วงเวลาดังนี้คือ:- ช่วงแรกทีเดียวกก็ตอนตื่นนอน ตอนนี้ความเข้มข้นของเลือดจะสูงมาก เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ ควรดื่มน้ำเข้าไปทดแทนมากๆเท่าที่ดื่มได้ ช่วงที่ 2 ของวัน ก็ตอนประมาณ 10 โมงเช้า เป็นช่วงที่ร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว จนเกิดของเสียขึ้นจำนวนหนึ่ง เราให้น้ำมาชำระ ออกไป การดื่มน้ำช่วงนี้จึงป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดกรดมากเกินไป หลังจากนั้นก็เป็นช่วงบ่าย 3 โมง ก็ควรดื่มน้ำอีกครั้ง ทีนี้ก็มาถึงช่วงที่สำคัญที่สุดคือช่วงก่อนนอน เพราะเวลานอนความเข้มข้นของเลือดจะสูงมากอีกครั้งหนึ่ง จึงควรดื่มน้ำเพื่อลดความเข้มข้นลงเลือดจะหมุนเวียนสดวก หลับสบาย

ป้องกันการแอบถ่ายในห้องลองเสื้อ

ป้องกันการแอบถ่ายในห้องลองเสื้อ การป้องกันการแอบถ่ายในห้องลองเสื้อโดยเฉพาะสาว ๆเวลาเพื่อนๆไปซื้อเสื้อผ้าก็ต้องมีการลอง ชุด กันก่อนใช่ไหมครับ โดยเฉพาะตามห้างสรรพสินค้าต่างๆทีนี้มัก จะมีข่าวออกมาว่า มีการใช้กล้องขนาดเล็ก"แอบถ่าย"ในห้องลองเสื้อของสุภาพสตรี วันนี้ผมมีวิธีป้องกันคือว่าให้พี่และ เพื่อนๆใช้โทรศัพท์มือถือโทรออกไปหาใครก็ได้ถ้าหากว่าโทรติดก็แสดงว่าไม่มีกล้องซ่อนอยู่ครับ แต่ในทางตรงข้ามถ้าหากว่าโทรไปหาใครต่อใครแล้วก็ไม่ติดสักทีทั้งๆที่คลื่นก็เต็มอยู่นั่นแสดงว่ามี กล้องซ่อนอยู่ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าคลื่นของโทรศัพท์ถูกรบกวนโดยคลื่นของกล้องที่ส่งไป ยังเครื่องรับครับมีเพื่อน ส่งข้อมูลมาให้ ก็ลองทำดูก็แล้วกันนะครับ ระวังตัวด้วยนะ อย่าประมาทก็แล้วกัน

Rich & Poor ...What's the difference ?

มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่งสุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชายวัยห้าขวบของเขากำลังจะได้
เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น
จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนใน โรงเรียนนี้ได้
โดยส่วนตัวของเขาเองก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลกควบคู่ไปกับ
การสอนทฤษฏีในโรงเรียน
ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ
แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง ”ความยากจน”
เพราะเขามีความเชื่อว่าลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง
และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน
เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมามหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่า
ลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า
เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนา
และพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า......ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่
ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง
แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา
อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆบริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา
ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร
เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร
และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน
ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขาต้องกอดเอวพ่อให้แน่น
เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน
แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที่
ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน
แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
.........ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย
เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า.....จริงๆ แล้ว.......เรายากจนกว่าชาวนามาก

ใครรักหนังสือไม่ควรพลาด

ใครรักหนังสือไม่ควรพลาดเลย เปิด 10 โมงเช้า ปิด 3 ทุ่ม อยู่หัวมุมซอยสาทร 12เยื้องๆ ตึกหุ่นยนต์ http://www.thailandbooktower.com/Thailand Book Tower
ตั้งอยู่บนถนนสาทรเหนือ เลขที่ 122 สีลม บางรัก กรุงเทพพื้นที่กว่า 5,400 ตรม. ( Net Area)โดยมี Gross Area ประมาณกว่า 6,000 ตรม. ณ อาคารเกษตรรุ่งเรือง ชั้น 1-9 รวม 9 ชั้น(จากอาคารทั้งหมด 13 ชั้น) ดังนี้
ชั้น 1 นิตยสาร , ร้านอาหารและเครื่องดื่ม , สินค้าเครื่องเขียน,ศูนย์ถ่ายเอกสาร, ไปรษณีย์, หนังสือขายดี และหนังสือแนะนำ, CD / DVD, InternetCafe'
ชั้น 2 หนังสือวรรณกรรม, การ์ตูน
ชั้น 3 หนังสือเกี่ยวกับบ้านและการตกแต่ง บ้าน , อาหาร , สุขภาพ , บันเทิง ,ท่องเที่ยว , ศิลปวัฒนธรรม , สังคม , การเมือง, เศรษฐกิจ, โหราศาสตร์ , ดนตรี ,กีฬา ซึ่งถือเป็นกลุ่ม Variety เนื่องจากมีความหลากหลาย โดยเมื่อรวมในชั้นเดียวกันแล้ว จะมีความหนาแน่นของหนังสือหรือ intensity อย่างเหมาะสม ชั้น 4 หนังสือเด็ก , มุมเด็กหรือ playground , หนังสือแม่และเด็ก
ชั้น 5 คู่มือ , ตำราเรียน , เทคโนโลยี , คอมพิวเตอร์ , การบริหารการจัดการพื้นที่ชั้น 2-5 แบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกพื้นที่ประมาณ 200ตรม.เป็นส่วนของหนังสือฝากขาย ซึ่งมีพนักงาน TBT ดูแล, ให้บริการ, จำหน่ายส่วนพื้นที่อีก 400 กว่าตรม. เป็นการจัดพื้นที่ให้สำนักพิมพ์ต่างๆมีพื้นที่ขาย,พื้นที่หน้าร้าน สำหรับจัดโชว์สินค้าเป็นของตนเอง ซึ่งบางส่วนเป็นลักษณะ shop inshop ที่สำนักพิมพ์ดำเนินกิจการเองทั้งหมด ตั้งแต่นำสินค้าเข้า-ออก, การขาย,การรับชำระค่าสินค้า ไปจนถึงรับผิดชอบสินค้าสูญหายเอง แต่บางส่วนยังเป็นระบบฝากขายที่ TBT ดูแลให้แม้มี shop เป็นของสำนักพิมพ์แล้วก็ตาม
ชั้น 6 หนังสือนำเข้าจากต่างประเทศ
ชั้น 7 ศูนย์อาหาร ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหารและเครื่องดื่มประมาณ 10ร้านค้าและที่นั่งประมาณ 280-300 ที่นั่ง
ชั้น 8 - 9 กิจกรรมพิเศษ , ห้องสัมมนา สำหรับกิจกรรม, workshop ต่างๆเช่นการเปิดตัวหนังสือใหม่จากสำนักพิมพ์ต่างๆ, การจัดสัมมนาจากหน่วยงานภายนอกภายใน TBT มีลิฟท์ 3 ตัวที่สามารถนำลูกค้าขึ้นอาคารได้ครั้งละ 8 - 10 คนต่อลิฟท์ 1ตัว ส่วนบันไดเลื่อนจะมีระหว่างชั้น 1-2 และ 2-3 นอกจากนี้ในทุกๆ ชั้นจะมี restarea หรือที่นั่งพักสำหรับลูกค้าที่ต้องการนั่งอ่านหนังสือที่สนใจเพื่อการตัดสินใจซื้อ หรือนั่งพัก ซึ่งถือเป็น serviceและมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าและความครบถ้วนในการให้บริการของ TBTส่วนอาคารจอดรถ สามารถจอดรถได้ 120 คัน และสามารถจอดซ้อนคันรวมได้ถึงประมาณ 160 คันโดยใช้เป็นที่จอดรถ ฝ่ายบริหารประมาณ 20 คัน (เหลือที่จอดรถสำหรับลูกค้า 100-140คัน)
นอกจากนี้ ได้ติดต่อขอเช่าพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ของสถานทูตพม่าซึ่งเป็นที่ดินด้านข้างอาคาร สามารถจอดรถได้อีกประมาณ 120 คันและที่จอดรถบริเวณสุดซอยทะลุถนนสีลม อีกประมาณ 30 คันในวันหยุดราชการTBT มีรถประจำเส้นทางต่างๆ ซึ่งแต่ละคันมี 24-30ที่นั่งในการวิ่งไปที่ศูนย์กลางชุมชนและรับคนมาที่ TBT โดยในเวลาเดียวกันถือเป็นการสร้างการรับรู้ของผู้คนที่เห็นรถเหล่านี้บนท้องถนนเนื่องจากรอบตัวถังรถถูกหุ้มด้วย สื่อข้างรถที่สื่อสาร, ชักจูงให้คนมา TBTนอกจากนี้บนรถ ยังมีสื่อต่างๆ ที่แจกให้ผู้ที่โดยสาร, เดินทางมา TBTเพื่อสร้างความสนใจ, การรับรู้และความต้องการมา TBT อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการ ด้วยรถประจำเส้นทาง เหล่านี้ ซึ่งถือเป็นการสร้างความหนาแน่นให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับ TBTแม้ทำเลที่ตั้งจะถือเป็น stand alone specialty store
นอกจากนี้ยังมีรถบัสขนาดใหญ่ที่มี 42-50 ที่นั่ง ในการไปโรงเรียน,สถาบันที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ในการรับนักเรียน, กลุ่มเป้าหมายมา TBT วันละประมาณ 500คนสำหรับ weekday ในช่วงเช้า - บ่าย และกลับมารับนักเรียนในพื้นที่สาทร, สีลม,ชิดลมในช่วงเวลาเลิกเรียนในแต่ละวัน

เผื่อใช้ยามป่วยฉุกเฉิน มีประโยชน์มาก

Subject: FW: เผื่อใช้ยามป่วยฉุกเฉิน มีประโยชน์มาก
เรียน ทุกท่านเมื่อวันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2548 ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นในครอบครัวผม โดยน้องชายซึ่งอยู่ดูแลคุณพ่อได้โทร.มาที่ทำงาน บอกว่าคุณพ่อหกล้มไม่สามารถขยับร่างกายได้ และคุณพ่อผมพัก อยู่กับน้องชายเป็นคอนโดมิเนียมแถวสาธุประดิษฐ์ ในซอยสุขสวัสดิ์ 38 ชั้น 5 ผมรีบลางานแล้วเดินทางไป โดยความรีบร้อนไม่ได้แจ้งเหตุให้หน่วยช่วยเหลือใดทราบเลย ระหว่างทางรถแท๊กซี่ที่ผมนั่งไปจากหน้าธนาคารและคุยกันไปบอกว่าให้ติดต่อหน่วยแพทย์กู้ชีพ ซึ่งจะมีความชำนาญในการขนย้ายผู้บาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุได้อย่างดีและรวดเร็ว ผมรีบแจ้งให้น้องชายโทร.ไปขอความช่วยเหลือ 191 ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีโดยบอกให้โทร .ไปที่ 1669 หน่วยแพทย์กู้ชีพนเรนทร เมื่อโทร.ไปและแจ้งจุดเกิดเหตุว่าอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ทางศูนย์ให้โทร.ไปที่ 1554 หน่วยแพทย์กู้ชีวิต โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ซึ่งน้องชายผมบอกว่าโทร .ไปเพียง10 นาที หน่วยแพทย์กู้ชีวิตได้เดินทางไปถึงเจ้าหน้าที่ทุกท่านมีอุปกรณ์และวิทยุแจ้งอาการคุณพ่อกับแพทย์ที่อยู่ประจำศูนย์เพื่อเช็คอาการขั้นต้นอย่างรวดเร็ว ทำให้น้องชายผมคลายกังวล ขณะนั้นผมยังเดินทางไปไม่ถึงเมื่อไปถึง หน่วยแพทย์ได้นำคุณพ่อมาที่รถพยาบาลพอดีได้นั่งไปด้วยสอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่าเมื่อไปถึง คุณพ่อชีพจรอ่อน หายใจไม่สะดวก ขยับส่วนกลางลำตัวไม่ได้ความดันต่ำโดยแพทย์ปลายทางสอบถามอาการตลอดทุก 5 นาทีพร้อมเช็คประวัติคุณพ่อผมไปที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าซึ่งเมื่อเริ่มเดินทางอาการโดยรวมดีขึ้น คุยได้ หายใจปกติ ชีพจรปกติ ความดันปกติมือเท้าขยับได้ผมก็เบาใจลง แต่ไม่สามารถขยับตัวได้ เจ้าหน้าที่ได้ปลอบใจผมว่าอย่างเพิ่งกังวลไป ต้องให้แพทย์เช็คอาการกอ่น ขั้นต้นแพทย์ให้ใส่ที่กันกระดูกเคลื่อนที่คอ และรัดลำตัวไปก่อนด้วยบรรยากาศในรถพยาบาลที่ควรเคร่งเครียดแต่เห็นการช่วยเหลือ และเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่แล้วผมก็เบาใจลงคลายความกังวล เมื่อลงทางด่วน (จากสาธุประดิษฐ์มาอนุสาวรีย์ชัยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเพียง 10 นาที ขับรถเร็วมาก แต่ผมไม่รู้สึกว่าอันตรายเลย มีความมั่นใจในเจ้าหน้าที่มากอยากให้คุณพ่อถึงมือหมอโดยเร็ว) รถติดมากในบริเวณอนุสาวรีย์ ก่อนเข้าวงเวียนไปพระมงกุฎ ผมประทับใจอีกครั้งจากการประสานงานระหว่างรถกู้ชีพกับเครือข่ายแพทย์กทม. ศูนย์วิทยุจราจรกลาง ศูนย์วิทยุตำรวจท้องที่ปิดไฟเขียวตลอดจากรถติด เป็นถนนโล่งภายใน 1-2 นาที ผมถึงโรงพยาบาลพระมงกุฏ ตึกฉุกเฉิน เมื่อถึงมีการรายงานอาการคุณพ่อผมให้พยาบาลและแพทย์ทันทีแบบมืออาชีพ ผมเพิ่งเคยพบกับตนเองประทับใจมาก ทำให้วิกฤตของ ครอบครัวผมผ่านพ้นไปด้วยดีผมได้พยายามให้ค่าตอบแทนเป็นสินน้ำใจเพื่อให้ทั้ง 3ท่านไปทานอาหารกลางวัน ก็ไม่ยอมรับ คำพูดที่ทั้ง 3 ท่านพูดเหมือนกันว่าพี่ยังต้องใช้จ่ายในการรักษาคุณพ่อพี่อีกพวกผมทำด้วยใจรักประกอบกับความมุ่งมั่นที่จะช่วยชีวิตทุกท่านที่มาถึงให้ทันเวลา โดยไม่หวังค่าตอบแทนใดๆ หากจะมีน้ำใจขอช่วยมีหนังสือขอบคุณไปที่ โรงพยาบาลเจิรญกรุงประชารักษ์ ต้นสังกัดก็พอแล้วผมบอกว่าคุณพ่อผมเป็นข้าราชการบำนาญและเป็นทหารผ่านศึกรักษาที่โรงพยาบาลนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ก็ไม่ยอมรับผมเห็นว่าการปฏิบัติงานของหน่วยแพทย์ดังกล่าวมีประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมจึงขอยกย่องชื่นชมเป็นอย่างสูง โดยได้ทำหนังสือไปขอบคุณแล้ว เมื่อพบ Mail ด้านล่างจึงแจ้งสิ่งที่ผมได้สัมผัสมาเป็นข้อยืนยันอีกครั้งหนึ่งขอเพิ่มเติมข้อมูลว่าหมายเลข 1669 เป็นของ หน่วยแพทย์กู้ชีพนเรนทร เรียกได้เมื่อเกิดเหตุนอกเขตกทม. เช่น นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม เป็นต้นหมายเลข 1554 เป็นของ หน่วยแพทย์กู้ชีวิต โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ กทม. เรียกได้เมื่อเกิดเหตุในเขตพื้นที่ กทม(ผมสอบถามเจ้าหน้าที่บอกว่ารถไม่ได้จอดอยู่เฉพาะในรพ. แต่กระจาย อยู่ทั่วพื้นที่ กทม. ปกติไปถึงที่หมายไม่เกิน 10 นาที โดยขอให้ผู้เรียก มารอรับได้จะรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่รู้จุดเกิดเหตุ)หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่านบ้างไม่มากก็น้อย พร้อมทั้งขออภัยด้วยหาก Mail นี้รบกวนท่าน
ปัญญา ยานะรักษ์
เมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉิน นอกจากช่วยเหลือตนเองแล้วขณะนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ได้จัดระบบช่วยเหลือผู้ประสบภาวะเจ็บป่วยฉุกเฉินดังกล่าวนี้เพียงกดโทรศัพท์ไปที่ หมายเลข 1669 จะมีคำแนะนำให้และหากจำเป็นจะมีหน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินไปช่วยเหลือคุณถึงที่เกิดเหตุ(ฟรี) ซึ่งขณะนี้เราจัดได้เกือบทุกที่ทั่วประเทศไทย ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทั้งวันทำการและวันหยุดแล้วครับ อย่าลืมนะครับ ป่วยฉุกเฉินโทรหมายเลข 1669 นะครับ
และได้ผลเป็นอย่างไรกรุณาแจ้งให้ผมทราบด้วยนะครับส่งต่อไปให้ทราบทั่วๆ กันด้วยครับ จักเป็นพระคุณยิ่ง
นพ. สุรจิต สุนทรธรรม ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

รอบรู้เรื่องรอบบ้าน

รอบรู้เรื่องรอบบ้าน
1. โรงรถมีกลิ่นอับมาก จะขจัดกลิ่นออกได้โดยโรยหญ้าที่เพิ่งตัดมาใหม่ๆ ลงบนพื้นโรงรถ แล้วปล่อยทิ้งไว้สักระยะหนึ่ง ต้นหญ้าจะดูดเอากลิ่นอับในโรงรถออกไปจนหมด
2. ถ้าต้องการอบผ้า 2-3 ชิ้นให้แห้งเร็วขึ้นทำได้โดย หาผ้าขนหนูสะอาดๆ ใส่ลงไปในเครื่องด้วย เพราะผ้าขนหนูจะไปช่วยดูดซับความชื้น ทำให้ผ้าแห้งเร็วขึ้นอีก
3. วิธีทำให้กรอบกระจกเงา หรือกรอบกระจกรูปภาพมองดูใหม่เสมอ ทำได้โดยการใช้ผ้าชุบน้ำมันสน แล้วทาบริเวณกรอบไม้ รอจนแห้งสนิท กรอบจะมองดูใหม่ทันที
4. วิธีล้างคราบสกปรกที่แก้วเจียระไน ทำง่ายๆคือหาเปลือกฝรั่งใส่ลงไปในแก้วเจียระไน แช่ทิ้งไว้สัก 2-3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้แก้วจะดูใสสะอาด
5. วิธีทำความสะอาดเครื่องเคลือบที่ทำด้วยทองเหลืองมีวิธีการทำง่ายๆ คือนำเอาหัวหอมมาต้มในน้ำเดือด แล้วนำมาขัดลงบนเครื่องเคลือบเพียงเท่านี้ เครื่องเคลือบจะมองดู ใหม่สะอาดหมดจดทีเดียว
6. วิธีการขจัดคราบไขมันที่ติดรอบท่ออ่างล้างจาน ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานๆ จะเป็นเหตุให้ท่ออุดตันได้ มีวิธีทำคือ นำเกลือแกงใส่ลงไปในท่อ 2-3 ช้อน จากนั้นนำเบกกิ้งโซดาหรือผงฟูต้มน้ำให้เดือดแล้วเทลงไป ไขมันที่อุดตันก็จะหลุดออกไปหมด
7. วิธีขจัดพวกมดแมลงมาขึ้นถังขยะทำได้ง่ายๆ โดยหยดแอมโมเนียลงข้างๆ ถังขยะ สักเล็กน้อย กลิ่นแอมโมเนียจะทำให้มดแมลงไม่กล้าเข้ามาใกล้ถังขยะอีก
8. การรักษาเครื่องมือทำสวนที่เป็นโลหะไม่ให้ผุกร่อนได้ง่าย มีวิธีการรักษาโดยใช้วาสลินทาผิวของโลหะทุกครั้งเมื่อใช้เสร็จแล้ว และนำมาทำความสะอาดอีกครั้ง
9. การใช้เตาแก๊สแบบประหยัด ทำได้โดยปรับเปลวไฟให้เป็นสีน้ำเงินเสมอ และไม่ควรเปิดไฟแก๊สให้สูงกว่าก้นหม้อด้วยจะทำให้หม้อร้อนช้า ควรปรับระดับให้พอดีกับก้นหม้อ
10. วิธีดับกลิ่นเหม็นในถังขยะไม่ว่าจะเป็นหน้าบ้านหรือในบ้านให้หมดกลิ่น ทำได้โดยใส่เปลือกมะนาวหรือเปลือกส้ม เขียวหวาน ส้มโอก็ได้ใส่ลงไปในถังขยะ กลิ่นส้มจะไปลดกลิ่นลงทำให้มีกลิ่นน้อยลง
11. การขัดรอยแมลงวันบนกระจกมีเคล็บลัดคือ ใช้ผงกาแฟคั่วหนึ่งช้อนผสมกับน้ำมันก๊าดหนึ่งลิตร และใช้เศษผ้าชุบเช็ดกระจกรอยแมลงวันก็จะหมดไป
12. หากต้องการทาสีห้องใหม่ แต่กลัวว่าห้องจะมีแต่กลิ่นเหม็นของสี อยู่หลายวันมีวิธีขจัดกลิ่นเหม็นของสี คือก่อนจะทาสีให้ผสมน้ำวานิลลา 1 ช้อนชาต่อสี 1 แกลลอน คนให้เข้ากันแล้ว จึงนำไปทาห้อง สีที่ทาใหม่จะไม่มีกลิ่นเหม็นเป็นเด็ดขาด
13. วิธีการป้องกันไม่ให้ถุงในเครื่องดูดฝุ่นโดนแมลงกัดเป็นรูคือ นำการบูรหรือลูกเหม็นใส่เข้าไปในถุงดูดฝุ่นสัก 1 ก้อน นอกจากป้องกันแมลงแล้วยังป้องกันกลิ่นอับอีกด้วย
14. แก้ปัญหายุงไปไข่ทิ้งไว้ในแท็งก์น้ำ ทำให้มีลูกน้ำว่ายวนอยู่ในแท็งมีวิธีทำคือ นำอิฐแดงๆ ที่ใช้ในการก่อสร้างมาเผาไฟให้ร้อนๆ แล้วเอาใส่ลงไปในแท็งก์น้ำทันที เพียงเท่านี้ยุงจะไม่กล้าเข้าไปไข่ทิ้งไว้อีกเลย
15. วิธีกำจัดต้นหญ้าที่ขึ้นไม่ถูกที่ ทำได้โดยใช้เกลือโรยตรงส่วนที่ต้นหญ้าขึ้น เหตุเพราะเกลือจะไปทำให้ดินตรงที่ต้นหญ้าขึ้นอยู่เค็ม จึงทำให้ต้นหญ้าตายในที่สุด16. น้ำประปาที่มีกลิ่นคลอรีนแรงมากมีวิธีกำจัดกลิ่นให้หมดไป โดยฝานมะนาวบางๆลงไปในน้ำ มะนาวจะช่วยดูดกลิ่นคลอรีนให้หมดไป และทำให้น้ำดื่มได้อีกด้วย
17. ขอบยางประตูตู้เย็นมีราขึ้น จะมีวิธีลบราออกได้ โดยใช้ผ้าชุบน้ำส้มสายชูแล้วนำ ไปถูตรงขอบยางประตูตู้เย็นที่เป็นรา ราก็ออกไปได้โดยง่ายดาย
18. ขจัดปัญหาหมาแมวฉี่และอุจจาระไม่เลือกที่ ทำได้โดยการโรยพริกไทยป่นลงไปบนที่มันเคยฉี่หรืออุจจาระไว้ เพียงเท่านี้หมาแมวก็จะดมกลิ่นหาที่ที่มันเคยฉี่และ อุจจาระไม่เจอ เหตุเพราะพริกไทยป่นจะไปดับกลิ่นหมด ทางที่ดีควรสอนให้มันฉี่และอุจจาระในห้องน้ำ หรือบนกระดาษที่เราควรจะวางไว้ให้จนเคยชิน
19. การรักษาไม้กวาดดอกหญ้าที่ซื้อมาใหม่ให้ใช้ไปได้นานๆ ทำได้โดยการจุ่มไม้กวาด ดอกหญ้าในน้ำเกลือร้อนๆ ขนของไม้กวาดจะเกาะตัวกันเวลาใช้จะทนทานไม่ขาดง่าย
20. ตะปูที่ตอกไว้ข้างฝาคอนกรีตสำหรับแขวนรูปหลวม มีวิธีแก้ไขง่ายๆ คือ ใช้สำลีพันตะปูชุบกาวและตอกเข้าไปใหม่ กาวที่สำลีจะยึดติดกันแน่น
21. วิธีการขจัดกลิ่นเหม็นสาปที่ติดอยู่ในกระติกน้ำแข็งทำได้ โดยนำเบกกิ้งโซดามาผสม กับน้ำร้อน และนำมาล้างถูกระติกน้ำให้ทั่ว แล้วล้างน้ำอีกครั้งกลิ่นสาปก็จะหายไป
22. วิธีการเก็บสายยางที่ยาว ไว้โดยไม่เปลืองเนื้อที่ ทำได้โดยม้วนสอดเข้าไปในยางรถ ยนต์อันที่ไม่ใช้แล้ว เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
23. ขจัดปัญหากลิ่นส้วมเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบ้านคือ ใช้นำมันก๊าดประมาณ 1 ขวดใหญ่ มาเทราดลงไปในคอห่านแล้วเทน้ำตามลงไป เพื่อขจัดกลิ่นน้ำมันก๊าดให้หมด
24. วิธีป้องกันหมาแมวตัวโปรดมากัดแทะเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน คือใช้น้ำมันยูคาลิปตัส หรือน้ำมันที่มีกลิ่นฉุนทาที่เฟอร์นิเจอร์ กลิ่นฉุนนั้นจะทำให้มันไม่กล้าเข้ามากัดแทะอีก
25. วิธีขจัดรอยเปื้อนด่างดำบนเครื่องใช้ที่เป็นหนังคือ หยดน้ำมันสลัดสัก2-3 หยด ในน้ำสบู่ แล้วใช้แปรงจุ่มน้ำที่ผสมไว้มาถู จากนั้นจึงซักในน้ำสบู่ธรรมดาอีกครั้ง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ต่อด้วยเช็ดให้แห้งผึ่งลมไว้
26. วิธีการดึงสติกเกอร์ที่ติดอยู่บนฝาห้องออกโดยไม่ทิ้งคราบกาวไว้ที่ฝา ทำได้โดยใช้น้ำมันพืชมาทาบนรูปสติกเกอร์ แล้วจึงค่อยๆ ดึงออกมา27. การใช้เครื่องซักผ้าแบบประหยัดที่สุดคือ ในการซักผ้าแต่ละครั้ง ควรจะซักผ้าในปริมาณที่มากที่สุด
28. การทำให้ตู้เสื้อผ้าของคุณหอมได้โดยที่ไม่ต้องเปลืองเงินซื้อมาใส่ เพียงแต่คุณใช้เศษสบู่ที่จะทิ้งแล้วไปวางไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของตู้ กลิ่นสบู่นั้นก็จะหอมไปทั่วตู้เลย
29. วิธีทำความสะอาดภาชนะอลูมิเนียมให้ใสสะอาดเหมือนใหม่คือ นำเอาเปลือกแอปเปิ้ล ต้ม 2-3 นาที แล้วใช้น้ำขัดถูภาชนะอะลูมิเนียมก็จะดูเงาวามเหมือนใหม่
30. วิธีการใช้เตาอบให้ใหม่อยู่เสมอคือ หลังจากใช้เตาอบแล้วควรเช็ดทำความสะอาดทุกครั้ง และทำใน ขณะที่เตายังอุ่นๆ อยู่ เพราะจะเช็ดได้ง่ายกว่าในขณะที่เย็นแล้ว
31. วิธีขจัดรอยคราบเหนียวบนผนังตู้เย็นคือ ใช้น้ำมันพืชเทลงบนกระดาษเช็ดมือ แล้ว ถูจนสะอาด ทำสัก 2-3 ครั้ง น้ำมันพืชจะไม่ทำลายความเงาของตู้เย็นหรอก
32. วิธีขจัดกลิ่นเหม็นของท่อระบายน้ำล้างจาน ให้หอมสดชื่นได้คือเทเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วย ลงไปในท่อระบายน้ำทิ้งไว้ 5 นาที เทน้ำส้มสายชูตามลงไปอีก 1 ถ้วย จะขจัดกลิ่นเหม็นได้ดีจริงๆ
33. ในการใช้ยาขัดเฟอร์นิเจอร์ไม่ควรใช้ประเภท เช่น น้ำมัน ขี้ผึ้งบ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้ผิวเฟอร์นิเจอร์เกิดความเสียหายได้ง่าย
34. ในการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้าฝ้าย ให้ใช้แปรงทาสีด้ามใหม่ปัดตาม ซอกมุมเฟอร์นิเจอร์ไปพร้อมกัน กับการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ทุกครั้ง35. การทำความสะอาดในซอกเล็กซอกน้อยของโคมไฟ ให้ใช้เครื่องเป่าผม เป่าลมไปตาม ที่มีฝุ่นละอองจับ แล้วเช็ดถูทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำอีกครั้ง โคมไฟก็จะดูใหม่เสมอ
36. วิธีลบคราบดวงๆ ที่ติดบนเฟอร์นิเจอร์คือ ให้ใช้จุกไม้ก๊อกถู ถ้าไม่ออกให้ใช้นิ้วมือแตะยาสีฟันผสมขี้เถ้าบูหรี่ถูอีกครั้ง จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรอยเปื้อนซ้ำอีกครั้ง
37. การทำความสะอาดพื้นกระเบื้องยางคือ ใช้แปรงสีฟันชุบยาสีฟัน แล้วนำไปขัดถูบริเวณรอยเปื้อนให้แรงๆ จะทำให้รอยเปื้อนหลุดออกไปได้โดยง่าย
38. วิธีการตอกฝาผนังตะปูโดยไม่ให้งอคือ ให้ทาปลายตะปูด้วยน้ำส้มสายชูหรือน้ำมันพืช ก่อนที่จะนำมาตอกฝาผนังจะตอกได้คล่องและไม่งอจริงๆ
39. วิธีการทาสีกำแพงให้ติดอยู่ได้ทนนานคือ ก่อนที่จะทาสีกำแพงให้ล้างกำแพงให้สะอาด ด้วย น้ำมันสนเพื่อขจัดคราบสกปรกและสีที่ทาจะติดทนนานไม่ร่อนออกง่าย
40. วิธีแก้ปัญหาเฟอร์นิเจอร์ไม้โป่งออกมาคือ ให้วางผ้าชื้นๆ ลงบนรอยที่โป่ง ใช้เตารีดร้อนๆ ทับบนผ้า จะทำให้คืนสู่สภาพเดิม
41. วิธีขจัดรอยขีดข่วนบนเฟอร์นิเจอร์ไม้คือ ให้ใช้ผ้าแตะยาขัดรองเท้าที่สีเดียวกับไม้ แล้วถูตรงรอยแล้ว ใช้ผ้าขัดต่ออีกครั้ง รอยขีดข่วนก็จะหายไป
42. วิธีการแก้ปัญหาเก้าอี้หวายหย่อนคือ ถ้าอยากให้ตึงให้ล้างเก้าอี้หวายด้วยน้ำสบู่ร้อนๆ แล้วล้างน้ำสบู่ออก นำออกตากแดดกลางแจ้งให้แห้ง หวายที่หย่อนจะตึงเหมือนเดิม
43. วิธีการทำความสะอาดพื้นบ้านไม้ให้เงางามอยู่เสมอคือ ให้ผสมน้ำส้มสายชูครึ่งถ้วยต่อน้ำ 8 ลิตร จะช่วยขจัดเศษฝุ่นละอองและพื้นก็เป็นเงางามอีกด้วย
44. การรักษาเฟอร์นิเจอร์โลหะไม่ให้เป็นสนิมได้ง่ายคือให้ เคลือบโลหะด้วยขี้ผึ้งขัดรถ เมื่อจำเป็นต้องเอาเฟอร์นิเจอร์โลหะไว้ตากน้ำค้าง จะได้ไม่ขึ้นสนิมได้ง่าย45. วิธีการติดรูปโปสเตอร์บนกำแพงโดยไร้ร่องรอยเมื่อดึงภาพออกคือ ให้ใช้ยาสีฟันแทนกาวในณะที่ติดรูป เมื่อถึงเวลาดึงรูปออก ก็เพียงแค่ขัดยาสีฟันที่แห้งออกเท่านั้น ฝาผนังก็สะอาดแล้ว
46. ถ้าบังเอิญต้องจัดงานเลี้ยงที่มีฟลอร์เต้นรำแบบกะทันหัน ทำได้โดยโรยแป้งผงสำหรับ โรยตัวให้ทั่วก็จะแก้ขัดไปได้ด้วยดีทีเดียว
47. วิธีแก้ปัญหาหน้าต่างปิดและเปิดออกได้ยากคือ ให้เอาน้ำมันเครื่องหยอดตรงราง อลูมิเนียมให้ทั่วเพียงเท่านี้ก็จะทำให้เปิดและปิด ได้ง่ายขึ้นกว่าเก่า
48. วิธีป้องกันไม่ให้มดขึ้นตู้กับข้าวคือ ใช้เศษผ้าหรือเชือกที่เป็นผ้าไปชุบน้ำมันเครื่อง แล้วบิดพอหมาด นำไปผูกไว้ที่ขาตู้กับข้าวทั้งสี่ขา มดก็จะไม่กล้าขึ้นแน่นอน
49. วิธีการไล่ยุงแบบง่ายๆคือ หาการบูรมาห่อด้วยผ้าแล้วมัดไว้กับหลอดไฟฟ้าที่อยู่ภายใน บ้าน ความร้อนของไฟฟ้าจะทำให้การบูร ระเหยออกไป และกลิ่นของการบูรจะช่วยป้องกันยุงไม่ให้มารบกวน
50. วิธีการไล่หนูแบบง่ายๆ และประหยัดเงินคือ นำไม้ยี่โถไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปบดเป็นผง เสร็จแล้วนำไปโรยตามซอกที่หนูชอบอยู่ เพียงเท่านี้หนูก็พากันขนย้ายครอบครัวหนีออกไปจากบ้านของคุณไปเลย
51. วิธีการกำจัดปลวกที่ขึ้นบ้านแบบประหยัดคือนำน้ำมันเครื่องที่ใช้แล้ว มาราดให้รอบ บริเวณบ้าน เพียงเท่านี้ก็จะสามารถไล่ปลวก ไม่ให้มารบกวนบ้านอีกต่อไป
52. การขัดพื้นกระดานให้เงาแบบโบราณคือ หามะพร้าวมาผ่าครึ่ง ทุบกะลาตรงปากออก สักเล็กน้อย แล้วนำมาคว่ำลงกับพื้นกระดานขัดถูพื้นบ่อยๆ พื้นกระดานจะมองดูเงางามเชียวแหละ
53. โฟมสามารถใช้เป็นประโยชน์ได้หลายอย่างเช่น ใช้ทำเป็นกาวอุดรอยรั่วของภาชนะได้เป็นอย่างดีคือ ก่อนนำมาใช้จะต้องเอาเศษโฟมหักเป็นชิ้นเล็ก แช่น้ำมันทินเนอร์ให้ละลาย เหนียวข้นแล้วนำไปอุดรอยรั่วปล่อยให้แห้ง ก็จะสามารถใช้ต่อไปได้อีกเป็นระยะเวลา ยาวนาน
54. วิธีการปรับเสาทีวีในบ้านด้วยตัวเองทำได้ง่ายๆ คือ หากระดาษตะกั่วหรือหากระดาษฟอยล์ ที่ห่อปลาเผามาพันรอบๆ สายอากาศด้านหลังทีวีหลายๆ รอบ แล้วค่อยๆ รูดไปตามสาย เรื่อยๆ ให้มีคนคอยสังเกตภายในจอทีวีด้วย ถ้าภาพคมชัดก็ให้บีบกระดาษตะกั่วนั้นติดอยู่ กับสายตรงนั้นเลย ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
55. วิธีขจัดสนิมบนราวตากผ้าคือ หาเศษผ้ามาชุบน้ำส้มสายชูถูให้ทั่วแล้วใช้น้ำสบู่ถูทับอีกที ต่อจากนั้นเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ ตามด้วยผ้าแห้งอีกรอบหนึ่ง สนิมบนราวผ้าก็จะหมดไป
56. การขจัดมีดในครัวเรือนขึ้นสนิมคือ นำมีดนั้นมาถูกับมะนาวหรือหัวหอมก็ได้ แล้วล้างด้วยน้ำ สะอาดเช็ดให้แห้ง รับรองได้ว่ามีดทำครัวของคุณจะปราศจากสนิมมาขึ้นอีกเลย
57. การลับมีดในครัวให้มีความคมและอยู่ได้นานๆ ทำได้โดยหยอดน้ำมันก๊าดสัก 2-3 หยดลงบน หินลับมีด แล้วลับไปตามปกติ รับรองมีดของคุณจะคมกริบเชียวละ
58. วิธีขจัดกลิ่นเหม็นอาหารในตู้เย็นติดน้ำดื่มทำได้ โดยนำกากกาแฟหรือกากใบชาที่ชงหมดแล้ว นำมาใส่ไว้ในตู้เย็น กากกาแฟหรือกากใบชา พวกนี้จะดูดกลิ่นอันไม่พึงปรารถนาให้หมดไปจาก ตู้เย็นของคุณ
59. ผงชันยาเรือมีประโยชน์ช่วยป้องกันมดได้อีกแบบหนึ่งคือ นำผงชันยาเรือมาโรยไว้ในขาตู้กับข้าว เพียงเท่านี้มดก็จะไม่มารบกวนขาตู้อีกเลย
60. วิธีทำความสะอาดเครื่องซักผ้าให้สะอาดทำได้ โดยใช้แอมโมเนียสัก 2 แก้วผสมน้ำเย็นธรรมดาครึ่งลิตร ใส่ลงในเครื่องซักผ้า แล้วเปิดเครื่องทำงาน น้ำส้มสายชูจะ ช่วยไล่คราบฝุ่นออกจากตัวเครื่อง และป้องกันการอุดตันได้ด้วย
61. วิธีทำความสะอาดกรอบกระจกเงาหรือกรอบรูปภาพ ให้มองดูใหม่คือ ให้เอาน้ำมัน ชุบผ้าทาตรงส่วนที่เป็นกรอบ แล้วรอจนแห้งแล้วจะมองดูใหม่ขึ้น
62. วิธีทำความสะอาดเครื่องแก้วโดยไม่ต้องเช็ดคือ ใช้น้ำผสมแอลกอฮอล์ล้าง น้ำผสมผสมแอลกอฮอล์จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกออกได้ง่าย ข้อสำคัญจะแห้งได้เอง โดยไม่ต้องเช็ดด้วยผ้าอีกครั้ง
63. วิธีขจัดกลิ่นเหม็นอับในตู้กับข้าวให้หอมสดชื่นคือ ใช้ปูนขาวเล็กน้อยใส่ชามใบ ย่อมไปวางมุมใดมุมหนึ่งของตู้กับข้าว ทิ้งไว้ประมาณ3-4วัน กลิ่นอับชื้นก็จะ ค่อยจางหายไป
64. วิธีทำความสะอาดคราบสกปรกที่ติดกระเบื้องปูห้องน้ำมีวิธีทำคือ ราดด้วยน้ำให้ทั่ว แล้วเอาเกลือแกงโรยลงบนแปรงขัดทั้งห้องน้ำ หรืออาจจะโรยเกลือที่ผ้าเปียกน้ำ แล้วขัดพื้นให้ทั่ว เพียงเท่านี้ ห้องน้ำกระเบื้องของคุณก็จะสะอาดเป็นเงางาม เลยทีเดียว
65. วิธีการทำความสะอาดผ้าม่านที่เป็นใยสังเคราะห์ ควรซักด้วยมือ ก่อนซักควรปัดฝุ่นให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นเทน้ำยาซักผ้าลงบริเวณที่เปื้อน แล้วจุ่มลงในน้ำยาซักผ้า ที่ผสมน้ำอุ่นแล้วอย่าบิด ควรคลี่ตากเพราะในเวลาแห้งจะได้ผ้าม่านที่เรียบไม่ยับยู่ยี่
66. วิธีทำความสะอาดงาช้างที่มีคราบฝุ่นติดอยู่เต็มไปหมดคือ นำมาถูด้วยมะนาวกับ เกลือ แล้วล้างออกด้วยน้ำสบู่แล้วเอางาช้างวางไว้กลางแดดทั้งๆ ที่ยังเปียกน้ำน้ำสบู่อยู่ ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด เมื่อแห้งแล้วขัดด้วยผ้าสักหลาด ก็จะได้งาช้างสะอาดดังเดิม
67. วิธีทำความสะอาดคราบเหลืองที่ติดตามภาชนะเคลือบสีขาวมีวิธีทำคือ ใช้น้ำมันพาราฟินถูรอยสกปรก น้ำมันพาราฟินจะช่วยขจัดคราบสกปรกคราบเหลืองของ ภาชนะเคลือบขาวได้
68. วิธีทำความสะอาดคราบดำของกาแฟที่หม้อต้มคือ ใช้ผงซักฟอกที่ใช้กับเครื่องซักผ้า 1 ช้อนโต๊ะใส่น้ำจนเต็มหม้อ แล้วแช่ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงจึงล้างออก69. วิธีขจัดรอยเปื้อนบนผ้าปูโต๊ะให้สะอาดคือ ให้โรยเกลือป่นตรงรอยเปื้อน ใช้น้ำ ร้อนราด แล้วนำไปแช่ในน้ำนมสดต้มด้วยไฟอ่อนๆแล้วจึงนำไปซักรอยที่เปื้อน70. วิธีทำความสะอาดโป๊ะไฟ โคมไฟในส่วนที่ทำความสะอาดยากเช่น รอยจีบซอกเล็ก ซอกน้อย ให้ใช้ เครื่องเป่าผมเป่าลมไปตามที่มีฝุ่นละอองจับ แล้วค่อยๆ ใช้ผ้าชุบ น้ำยาล้างจานเช็ด ตามด้วยผ้าสะอาดเช็ดอีกครั้ง เพียงเท่านี้โคมไฟที่ว่าหมองจะ ใหม่สะอาดทันที
71. วิธีทำความสะอาดผ้าม่านพลาสติก ควรซักด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำยาซักผ้าที่ผสม น้ำอุ่น แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ใช้ตากลมดีกว่าตากแดด เพราะจะไม่ทำให้ผ้าม่านสี จืดจางลงไป
72. วิธีการทำความสะอาดกระจกเงาส่องหน้าให้ใสคือ นำยาสีฟันมาบีบใส่ไว้บนกระจกแล้วหาผ้าชุบน้ำมา เช็ดยาสีฟันที่บีบทิ้งไว้บนกระจก โดยถูให้ทั่วๆ กระจก แล้วใช้ผ้าเช็ดอีกครั้ง กระจกเงาที่หมอง จะดูเงางาม เป็นประกายทันที
73. วิธีทำความสะอาดคราบน้ำมันบนพื้นปูนซีเมนต์ให้สะอาดเอี่ยมคือหาขี้เถ้าที่อยู่ในเตาถ่านมาโรยไว้บนคราบน้ำมันที่เปื้อนพื้นปูนซีเมนต์ให้ทั่ว ทิ้งไว้สักครู่ล้างออก ด้วยน้ำให้สะอาด ขี้เถ้าก็จะดูดคราบน้ำมันออกไปจนหมดเกลี้ยง