a day with a view 64
ทรงกลด บางยี่ขัน > เรื่อง
โสภณ สุภาพงษ์
เพียงทำหน้าที่มนุษย์
เรื่องราวของปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในมุมที่อาจจะไม่เคยรู้ แต่ควรต้องรู้
โสภณ สุภาพงษ์ ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ เมื่อปีพ.ศ. 2541 คำประกาศรางวัล
ส่วนหนึ่งอธิบายว่า ‘เขาคือคนที่ช่วยเหลือผู้ยากไร้โดยที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา และทำโดยไม่ได้หวังให้ผู้อื่นรู้’ นั่นทำให้เขาถูกเรียกว่า ‘นักธุรกิจแมกไซไซ’
เขาได้รับพระราชทานรางวัลบุคคลดีเด่นแห่งชาติ สาขาพัฒนาเศรษฐกิจ ปีพ.ศ. 2539
เขาคือผู้ปลุกปั้นกิจการน้ำมันบางจาก จากโรงกลั่นและปั๊มน้ำมันปลายแถวที่ขาดทุนจนกลายมาเป็นธุรกิจน้ำมันที่มีกำไร พร้อมๆ กับสร้างจุดยืนซึ่งแข็งแรงมากในด้านสิ่งแวดล้อม สนับสนุนวิถีผลิตแบบชุมชน เศรษฐกิจพอเพียง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่น (ในความหมายของชาวบ้านจริงๆ ) เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ
เขาเคยเป็นและเป็นประธาน กรรมการ ผู้บริหาร บริษัทด้านการเงินการธนาคาร การก่อสร้าง การบินไทย การทางพิเศษ รถไฟฟ้า และรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง รวมทั้งเคยเป็นรองผู้ว่าปตท. เมื่ออายุแค่ 33 ปี
เขาเคยอยู่ในคณะกรรมการนโยบายน้ำมัน และนโยบายพัฒนาเกี่ยวกับชนบทของพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ และนายกรัฐมนตรีหลายท่าน
เขาคือสมาชิกวุฒิสภาและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีหลายสมัย
เขาคือหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง ปีพ.ศ. 2538
เขาเป็นอนุกรรมการในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้รับผิดชอบโดยตรงกับการตรวจสอบกรณีผู้ถูกอุ้มฆ่า สูญหาย บาดเจ็บ ทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เขาเป็นกรรมาธิการวุฒิสภาสอบสวนการสูญหายของคุณสมชาย นีละไพจิตร ทนายความที่ช่วยทำคดีให้ชาวบ้านที่ถูกฟ้องร้องอย่างไม่เป็นธรรม
เขาทำงานร่วมกับสภาทนายความ ชมรมทนาย เพื่อเข้าไปดูแลคดีความเพื่อให้เกิดความยุติธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เขาเป็นหนึ่งในกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ
2 ปีก่อน เขาเริ่มลงไปช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียในหมู่บ้านบริเวณพื้นที่อันตรายของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยหน้าที่ของมนุษย์ที่พึงมีต่อมนุษย์
และสิ่งที่เขากำลังจะเล่าต่อไปนี้ คือข้อมูลจริงอีกด้านจากในพื้นที่ ซึ่งคนนอกพื้นที่อาจไม่เคยรู้
แต่ควรต้องรู้
เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าพูดโดยสรุปที่สุดก็คือ เหตุรุนแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นจาก 2 ฝ่ายคือฝ่ายเจ้าหน้าที่บางคนที่ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยอุ้มฆ่าชาวบ้านที่บริสุทธิ์ และโจรไม่กี่ร้อยคนที่เราไม่รู้จักได้ฆ่าชาวบ้านบริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยมรายวัน คนร้าย 2 ฝ่ายนี้ปนอยู่กับชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เกือบ 2 ล้านคนที่กำลังหวาดกลัวทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่เสียสละ กลุ่มขบวนการแยกดินแดนในอดีตซึ่งมีอายุมากแค่ไม่กี่คน และวัยรุ่นที่กลายมาเป็นแนวร่วมของโจร เนื่องจากคับแค้นใจที่ญาติพี่น้องถูกตั้งศาลเตี้ยอุ้มฆ่ามากขึ้นทุกวัน ถ้าปราบพวกตั้งศาลเตี้ยได้ แนวร่วมโจรก็จะหมดไป ชาวบ้านก็จะศรัทธาและกล้าบอกเจ้าหน้าที่รัฐว่าใครคือพวกตั้งศาลเตี้ย ใครคือโจร
ก็จะทำให้ปราบโจรได้เหมือนเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้
วันนี้รัฐบาลยังไม่รู้จักแกนนำโจร ไม่รู้จักโครงข่ายขบวนการที่แท้จริง แต่เรารู้ว่าไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องศาสนา ไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องการแบ่งแยกดินแดน และยังไม่มีองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติใดเข้ามาปฏิบัติการ อาจมีในระดับเพื่อนที่เคยฝึกรบร่วมกันในต่างประเทศมาก่อน มีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปต่อไป มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นมากกว่า 3,000 ครั้งในรอบ 2 ปี แต่ยังจับผู้กระทำผิดไม่ได้ ในไม่ช้าก็จะพาไปสู่ความขัดแย้งทางศาสนา เชื้อชาติ และต่างประเทศในที่สุด
ถ้าจะทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราต้องไปเริ่มต้นกันที่ตรงไหน
คงต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ก่อนว่าคนไทยเชื้อสายมลายูอยู่บนแผ่นดินไทยมาก่อนไทยทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นไทยจีน ไทยมอญ ไทยลาว ไทยเขมร กรุงสุโขทัยสถาปนาขึ้นเมื่อ 900 ปีที่แล้ว แต่ไทยมลายูอยู่ที่ภาคใต้ของไทยมาตั้งแต่ 1,800 ปีที่แล้ว กินพื้นที่ไปถึงประเทศมาเลเซียในขณะนี้ทั้งหมด จากอ่าวสยามจรดฝั่งอันดามัน เป็นอาณาจักรมลายูที่เรียกว่า ลังกาสุกะ คนมลายูเมื่อ 1,800 ปีก่อนนับถือศาสนาฮินดู พราหมณ์ เปลี่ยนเป็นพุทธ และเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นอิสลามเมื่อ 500 ปีที่แล้ว เพราะสุลต่านเจ้าเมืองไม่สบาย มีหมอมุสลิมมารักษา
จนหาย เลยเลื่อมใสศาสนาอิสลาม อาณาจักรลังกาสุกะจึงเปลี่ยนเป็นปาตานีดารุสลาม
ในยุคกรุงศรีอยุธยา เราอยู่กันเป็นกลุ่มก๊กต่างๆ โดยส่งบรรณาการให้กรุงศรีอยุธยา พอกรุงแตก ก๊กต่างๆ ก็แตกออกจากกัน จนรัชกาลที่ 1 ยกทัพไปปราบก๊กต่างๆ หัวเมืองมลายู นครศรีธรรมราช และยกทัพมาตีปาตานีซึ่งเคยเป็นรัฐอิสระมาก่อน กวาดต้อนเชลย 4-5 พันคนมาไว้ที่พระประแดง บ้านครัว ฝั่งธนฯ ใช้เป็นทหารช่วยออกรบป้องกันกรุงรัตนโกสินทร์สมัยสงครามกับพม่าและเขมร ในยุคล่าอาณานิคมสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2452 อังกฤษก็เข้ามาเฉือนดินแดนกลันตัน ไทรบุรี ตรังกานู และปาลิส รวม 15,000 ตารางไมล์ เป็นของอังกฤษภายใต้ชื่อ บริติชมลายู ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียในปัจจุบัน ส่วนดินแดนมลายูที่เหลือคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตกลงให้เป็นของสยาม ตามทัศนคติของสยาม ประวัติศาสตร์ปัตตานีถือเป็นเรื่องขบถ แต่ในมุมมองของปัตตานีเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระ เพราะฉะนั้นพวกที่มีเชื้อราชวงศ์สุลต่านรัฐปัตตานีเดิมหรือกลุ่มบีอาร์เอ็นก็พยายามเรียกร้องขอเป็นอิสระ เพราะเชื้อสายเขาเคยเป็นอิสระมาก่อน
มีการปกครองดูแลดินแดน 3 จังหวัดหลังจากนั้นอย่างไร
ในปีพ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกำหนดพระบรมราโชบายสำหรับมณฑลปัตตานีไว้เป็นการเฉพาะ มีสาระสำคัญโดยย่อดังนี้
ข้อที่หนึ่ง ระเบียบหรือข้อปฏิบัติที่เป็นการเบียดเบียน กดขี่ ศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิกแก้ไขเสียทันที การใดยิ่งทำให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสดามูฮัมหมัดได้ยิ่งดี
ข้อที่สอง การกะเกณฑ์ใดๆ ต้องอย่าให้ยิ่งกว่าที่พลเมืองในแว่นแคว้นของต่างประเทศ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงติดต่อกัน
ข้อที่สาม การกดขี่บีบคั้น ดูแคลนพลเมืองชาติแขกโดยเจ้าพนักงานของรัฐบาล ต้องแก้ไขระมัดระวัง
มิให้มีขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องให้ผู้ทำผิดรับผลตามความผิด
ข้อที่สี่ กิจการใดต้องบังคับแก่ราษฎรต้องระวังอย่าให้ราษฎรขัดข้องเสียเวลา
ข้อที่ห้า ข้าราชการที่จะแต่งตั้งออกไป พึงเลือกเฟ้นแต่คนมีนิสัยซื่อสัตย์ สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็นไม่ใช่ส่งไปเป็นทางลงโทษเพราะเลว
ข้อที่หก การวางระเบียบการอย่างใดขึ้นใหม่ ในมณฑลปัตตานี อันจะเป็นทางพากพานถึงทุกข์สุขราษฎรก็ควรพิจารณาเหตุผลแก้ไขหรือยับยั้ง
นโยบายต่อภาคใต้ในสมัยรัฐบาลเผด็จการของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เปลี่ยนแปลงไปไหม
ในปีพ.ศ. 2482 จอมพลป. เปลี่ยนชื่อประเทศสยามที่พระราชทานโดยพระมหากษัตริย์มาเป็นประเทศไทย และบังคับวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ ในสยามให้เหมือนคนกรุงเทพฯ สั่งห้ามแต่งกายมุสลิม ห้ามใช้ภาษามลายู จำกัดวิถีชีวิตประจำวันตามศาสนาอิสลาม ล้มเลิกพระราโชบายที่รัชกาลที่ 6 ทรงกำหนดไว้
พอถึงยุคที่คุณปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกฯ เมื่อปีพ.ศ.2487 คุณปรีดีก็มองภาคใต้แบบเป็นเพื่อน คือจริงๆ แล้วคนไทยพุทธกับไทยมุสลิม เขาไม่ได้มีปัญหากัน ชาวบ้านเขารักกันมานมนาน คนจีนอาจจะมีลูกจ้างเป็นมุสลิม แต่เขาจะไม่ให้คนมุสลิมทำงานในครัว ถ้าไปปัตตานีจะเห็นคนจีนเปิดร้านขายเสื้อสำหรับใส่ทำละหมาด เจ้าของร้านเขาสอนเยาวชนมุสลิมได้เลยว่าผ้าอย่างนี้ละหมาดได้หรือไม่ได้ คือเขามีชีวิตอยู่ด้วยกัน
ถึงแตกต่างแต่ก็อยู่ด้วยกันได้ เคารพกัน ตอนนั้นคุณปรีดีก็พยายามสร้างความสมานฉันท์ในภาคใต้ มีการออกพ.ร.บ.อิสลาม ให้มีตำแหน่งจุฬาราชมนตรีขึ้นมาเพื่อถวายคำปรึกษาต่อในหลวงในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ที่เราไปเข้าใจว่าตำแหน่งนี้เป็นพระ ที่จริงเป็นคนปกติ เป็นตำแหน่งกึ่งทางการเมือง ไม่ใช่ตำแหน่งทางศาสนา
ไม่เหมือนอิหม่าม (ผู้นำประกอบพิธีทางศาสนา) หรือ โต๊ะครู (ผู้บอกเรื่องศาสนาและสอนตีความศาสนา) ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นท่ามกลางความยากลำบาก ฉะนั้นคำพูดทุกคำพูดมีเหตุ เช่น ที่พูดว่า คนนอกศาสนา
ในอดีตพวกเขาต้องต่อสู้กับคนนอกศาสนาที่ยกทัพมาฆ่า พวกเขาถึงเรียกคนพวกนี้ว่าคนนอกศาสนา ไม่ใช่ว่ามาใช้ในวันนี้แล้วหมายถึงทุกคนนอกศาสนาหมด เขาถึงต้องมีคนมาบอกว่าคำพูดนี้มันหมายถึงเหตุอะไร คนมุสลิมโดยทั่วไปเขาถึงเคารพเชื่อฟังอิหม่ามกับโต๊ะครูมากๆ
เหมือนว่าทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี แล้วปัญหาความไม่สงบในภาคใต้เริ่มต้นขึ้นจากอะไร
ต้นปีพ.ศ. 2491 หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ โต๊ะมีนา พ่อของคุณเด่น โต๊ะมีนา ได้ยื่นข้อเสนอกับทางรัฐบาลว่าภาคใต้ควรมีกฎหมายบริหารที่สอดคล้องกับศาสนาอิสลาม ที่ต้องการกฎหมายเฉพาะก็เพราะกฎหมายที่ใช้อยู่มันละเมิดความเชื่อทางศาสนา คนมุสลิมเขาก็ทุกข์มาก ถือเป็นความพยายามที่จะแก้ปัญหาภาคใต้ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย รัฐบาลของจอมพล ป. ซึ่งปฏิวัติเข้ามาในปลายปีพ.ศ.2490 ได้ปฏิเสธข้อเสนอเหล่านี้ แล้วหะยีสุหลงก็ถูกจับตัวไป คนไทยมลายูเลยมาชุมนุมกันที่นราธิวาสเพื่อเรียกร้องขอคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น จนกลายเป็นการปะทะกัน สุดท้ายจอมพล ป. ก็ใช้กำลังเข้าปราบปรามจนผู้ชุมนุม 400 กว่าคนเสียชีวิต เรียกว่า กบฏดุซงญอ ตอนนั้นมีคนไทยมลายูหลายพันคนอพยพหนีตายไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่ไปอยู่มาเลเซีย พอมีรายได้ก็ส่งเงินมาช่วยเพื่อน ช่วยครอบครัว ที่ทุกวันนี้เราเข้าใจว่ามาเลเซียส่งเงินมาให้นั้นไม่ใช่ เป็นคนที่หนีไปส่งกลับมาให้ ถ้าคนกลุ่มนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็คงมีอายุมากกว่า 70-80 ปี
การมีกฎหมายพิเศษที่ใช้เฉพาะ 3 จังหวัดนั้นเป็นไปได้จริงๆ หรือ
อเมริกามี 50 กว่ารัฐ กฎหมายยังต่างกันหมด รัฐนี้ทำอย่างนี้ผิด อีกรัฐไม่ผิด แต่เมืองไทยไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ คิดว่าต้องเหมือนฉันหมด แต่ละคนโตมาไม่เหมือนกัน พวกนึงบอกไม่เหมือนก็ไม่เป็นไร แต่อีกพวกบอกต้องเหมือน ไม่เหมือนต้องฆ่า เหตุการณ์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อการร้ายติดอาวุธ เพราะมันคุยกันไม่ได้แล้ว ถูกฆ่าตาย มันขมขื่น ที่เหลือก็ต้องต่อสู้
อะไรทำให้ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐคุยกันดีๆ ไม่ได้
พลเอกเปรมเล่าไว้ในหนังสือประวัติของท่านว่า ตอนที่ท่านไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อปราบคอมมิวนิสต์ในภาคอีสานซึ่งรุนแรงมาก วันถัดมาหลังจากเข้ารับหน้าที่ ทหารของท่านถูกยิงตายไป 23 คน
ท่านเสียใจมาก แล้วก็ตั้งคำถามว่าทำไมชาวบ้านถึงเกลียดเรา ทำไมพูดกับเขาแล้วเขาไม่พูดด้วย พอไปคุยหลายๆ ครั้ง เขาก็บอกว่าเกลียดเพราะถูกเจ้าหน้าที่รังแก กดขี่ข่มเหง รีดไถต่างๆ นานา ท่านมองว่านี่คือสาเหตุของปัญหา เลยยืนยันกับชาวบ้านว่าถ้าใครมากดขี่ข่มเหง ทหารจะจัดการให้ ถ้าเป็นคนของเรา เราก็จะจัดการ แล้วก็ตั้งทสปช. (กลุ่มราษฎรอาสาสมัครไทยอาสาป้องกันชาติ) ไว้ช่วยจับโจร ชาวบ้านเลยเริ่มเชื่อใจเจ้าหน้าที่รัฐ เริ่มหันหน้ามาคุยกับเรา ก็คือเริ่มต้นแยกโจรออกจากชาวบ้านด้วยการปราบเจ้าหน้าที่ที่กดขี่ข่มเหงก่อน
ได้ยินมาว่าคนไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐเหมือนพลเมืองชั้น 2 มาหลายสิบปีแล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ปัญหานี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ที่มีการส่งข้าราชการจากส่วนกลางไปปกครอง พออยู่ไกลหูไกลตา เจ้าหน้าที่บางคนก็ไปแสดงอำนาจ ไปค้าขาย โดยเฉพาะตำรวจกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน ก็เป็นทุกแห่งนั่นแหละที่ข้าราชการไม่ได้รับใช้ประชาชน ยิ่งผู้มีอำนาจรู้สึกว่าพวกเขา (คนมุสลิม) ไม่ใช่พวกเราด้วยยิ่งไปกันใหญ่ ลืมไปว่าเขาคือคนไทย เป็นนายจ้างเรา
ปัญหาความขัดแย้งใน 3 จังหวัดในช่วงที่พลเอกเปรมเป็นนายกฯ นั้นรุนแรงแค่ไหน
ปีพ.ศ. 2523 มีกลุ่มก่อการร้ายในภาคใต้ที่ติดอาวุธอย่างน้อย 62 กลุ่ม มีโจรจีนคอมมิวนิสต์ โจรจีนมาเลเซีย โจรแบ่งแยกดินแดน โจรอาชญากรรม มีสารพัดโจร จำนวนหลายพันคน ตอนนั้นรุนแรงมาก มีกองกำลังติดอาวุธข้ามไปข้ามมาระหว่างมาเลเซียกับไทย พวกที่ก่อการร้ายในมาเลเซียก็ข้ามมาอยู่ในไทย พวกที่ก่อการร้ายในไทยก็ข้ามไปอยู่ในมาเลเซีย ตอนนั้นสิ่งที่พลเอกเปรมแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ ท่านตั้งศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ท่านไม่ได้สมมติเอาจากกรุงเทพฯ ว่าจะไปปราบใคร ท่านเริ่มที่พื้นที่เลย ให้คนมีศีลธรรมที่อยู่ในราชการเป็นผู้อำนวยการศูนย์
ศอ.บต. ดึงเอาผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา อิหม่าม โต๊ะครู พระ เข้ามาร่วม ชาวบ้านเขาผูกพันกับผู้นำศาสนา เพราะชีวิตเขาอยู่กับศาสนา ฉะนั้นมีสุขมีทุกข์อะไร เขาก็บอกผู้นำศาสนาหมด เพราะเขาไว้ใจว่าคนที่ฟังมีศีลธรรม พอได้ข้อมูล ศอ.บต. ก็จับผู้ร้ายผ่านกองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหารที่เรียกว่า พตท. 43 เป็นหน่วยปราบโจรที่ได้ข้อมูลจริง ผู้อำนวยการศอ.บต. ก็เป็นคนที่มีบารมีพอที่จะข้ามไปทุกกระทรวงเพื่อโยกย้ายข้าราชการที่เลว กดขี่ข่มเหง คอร์รัปชั่น ค้ายาเสพติด ในปีแรกที่ตั้งศอ.บต. คือปีพ.ศ. 2524 มีการย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่มากกว่า 220 คน ชาวบ้านก็รู้สึกเชื่อถือ การก่อเหตุร้ายแรงในช่วงนั้นลดฮวบลงมาเลย ระยะเวลาระหว่างปีพ.ศ.2523-2544 มีผู้ก่อเหตุร้ายอยู่ในขบวนการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเป็นขบวนการกึ่งการเมืองมามอบตัวทั้งหมด 969 คน พวกนี้เป็นนักรบเลย เพราะว่าในปีพ.ศ.2528 เป็นจุดเริ่มต้นที่คนไทยมลายูบางส่วนไปฝึกเป็นนักรบมูจาฮิดีนที่ปากีสถาน ชายแดนอัฟกานิสถาน
ไปฝึกเพื่ออะไร
เพื่อรับใช้ศาสนา ศาสนาอิสลามถือว่ามุสลิมเป็นพี่น้องกันทั้งโลก ใครทุกข์ยากต้องช่วย เป็นศาสนาที่ดี เพราะฉะนั้นการที่มีใครมาทำลายมุสลิมในอัฟกานิสถานมันเป็นสิ่งที่ต้องช่วยเหลือตามหน้าที่ คนที่ไปฝึกก็คือคนที่ต้องการจะสละชีวิตเพื่อต่อสู้กับทหารรัสเซียที่ฆ่ามุสลิมในอัฟกานิสถาน ก็ไปพบกับนายอับดุล ซายาฟ หัวหน้ากลุ่มมูจาฮิดีนที่มีกองกำลังเป็นหมื่นๆ คน เป็นการฝึกเพื่อก่อการร้ายโดยรัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ฝึกให้ เพื่อให้เข้าไปก่อการร้ายต่อรัสเซียที่ปกครองอัฟกานิสถานมาตลอด 10 ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2523-2533 ได้ทำลายกองทัพรัสเซียในอัฟกานิสถานจนประเทศรัสเซียย่อยยับลงไปเลย รัฐบาลอเมริกาใช้โรงเรียนที่คล้ายปอเนาะ (โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม) ในปากีสถานที่เรียกว่ามาดราสซา (Madrassa) 5-6 หมื่นแห่งเป็นตัวกระตุ้นว่านี่คือสงคราม
เพื่อศาสนา เพราะฉะนั้นคนกี่หมื่นคนที่นั่นที่ถูกฝึกเป็นมูจาฮิดีน อเมริกามีชื่อหมด ในนั้นมี บิน ลาเดน ด้วย เพราะฉะนั้นวันที่บิน ลาเดนหันหลังกลับบอกว่าอเมริกาทรยศ มายึดดินแดนเขา กลายเป็นศัตรูกัน รัฐบาลอเมริกาก็ไล่กำจัดตามรายชื่อที่เขามี ก็ตามเข้ามากำจัดในประเทศไทยด้วย
ไม่ได้ไปฝึกเพื่อกลับมาแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้
ไม่ใช่ มีข้อมูลว่ามีคนไทยมลายูบางคนเสนอให้กลุ่มนักรบในอัฟกานิสถานและกลุ่มเจไอที่ก่อความรุนแรงในอินโดนีเซียเข้ามาก่อเหตุร้ายในประเทศไทย แต่ได้รับการปฏิเสธเนื่องจากประเทศไทยไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องมาก่อความรุนแรง เพราะประเทศไทยไม่ได้ข่มเหงศาสนาอิสลาม และไม่เคยมีนโยบายต่อต้านมุสลิม
บิน ลาเดน เคยพูดถึงเงื่อนไขที่สำคัญมากอยู่ 2-3 ประการ เขาตั้งคำถามแรกว่า What school of thought, your blood considered blood, why ours is water. ด้วยวิถีคิดอะไร เลือดของพวกท่านถูกเรียกว่าเลือด เลือดของพวกเราถูกเรียกว่าน้ำ คำพูดนี้มันกินใจของคนมุสลิมทั้งโลกว่าพวกเขากำลังถูกดูถูกดูแคลนกดขี่ บิน ลาเดนพูดที่ใจเลย เขาถามว่า ทำไมเราต้องรับใช้ทุนนิยม ทำไมต้องรับใช้รองประธานาธิบดีของบุชที่มีบริษัทน้ำมันเข้ามาหากินในประเทศของเรา แล้วทำไมเราต้องฆ่ากัน
บิน ลาเดนให้เหตุผลของการก่อการร้ายในอเมริกาว่าอย่างไร
บิน ลาเดน บอกว่าที่เขาต้องฆ่าคนอเมริกัน เพราะคนอเมริกาเลือกประธานาธิบดีได้ และเมื่อเลือกประธานาธิบดีที่มีนโยบายฆ่ามุสลิม ให้งบประมาณกับอาวุธมาฆ่าพวกเขา เขาถึงต้องฆ่าคนอเมริกัน แต่เมืองไทยเราไม่เคยเลือกนายกฯ ไปฆ่าคนมุสลิม ถ้านายกฯ ทำก็เพราะนายกฯ อยากร่วมกับบุชเอง ไม่ใช่คนไทยทำ ผมยืนยันว่าคนไทยไม่มีความคิดนี้เลย เงื่อนไขของบิน ลาเดนจึงไม่สอดคล้องอะไรกับในประเทศไทย องค์กรก่อการร้ายต่างๆ ถึงไม่ได้เข้ามาที่ภาคใต้ ภาคใต้เป็นที่ที่เขามาพักร้อนเท่านั้น เขามีเพื่อนเคยไปฝึกรบด้วยกัน ความเกี่ยวข้องคือเป็นเพื่อนกัน รบกับอเมริกาเหนื่อย ขอมานอนพักผึ่งพุงสัก 3 เดือน
บิน ลาเดน ยังให้ข้อเสนอสันติภาพว่า ข้อเสนอสันติภาพนี้จะมีผลทันทีที่ทหารคนสุดท้ายของท่านออกจากดินแดนของเรา ข้อเสนอของบิน ลาเดนมีแค่นี้
การที่รัฐบาลไทยสนับสนุนนโยบายทางการทหารของอเมริกาอย่างชัดเจนในช่วงหลังนี่ไม่เข้าข่ายเงื่อนไขของกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศหรือ
ก็เกือบไปตอนที่คุณทักษิณส่งทหารไปอิรัก ตอนนั้นรัฐบาลเกือบนำเข้าสงครามก่อการร้าย โชคดีที่คนไทยเรียกร้องให้ถอนทหารออกจากอิรักทัน การที่ให้สิงคโปร์เช่าฐานทัพที่อุดรฯ พวกนี้เขาก็เล็งว่าจะมีอเมริกามาอยู่หรือเปล่า เพราะสิงคโปร์เป็นผู้แทนการรบ การค้าของอเมริกาทั้งหมดในภูมิภาคนี้ มาเลเซียก็กังวล ถ้าสิงคโปร์มีฐานทัพอยู่แค่บนเกาะมันก็จบ แต่ถ้ามาเลเซียรบกับสิงคโปร์แล้วต้องยิงอุดรฯ ด้วย เรายุ่งแล้ว แล้วฐานทัพสิงคโปร์ที่เช่าอยู่ที่อุดรฯ ก็อยู่ใกล้ๆ กับพื้นที่ 3,500 ไร่ที่ให้สถานีวิทยุอเมริกาเช่า สถานีวิทยุอะไรต้องมีตั้ง 3,500 ไร่ ใครก็รู้ว่าเป็นระบบวิทยุเพื่อความมั่นคง แล้วทำไมถึงให้สิงคโปร์มาเช่าที่ฝึกรบที่กาญจนบุรี ที่ปราจีนบุรี ถ้ารัฐบาลไทยเที่ยวไปช่วยอเมริกาเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างนี้ เอาความเป็นความตายของคนไทยไปแลกกับเงินทองก็จะมีปัญหาตามมา
เราไปได้ข้อมูลลึกๆ อย่างการร่วมฝึกรบกับกลุ่มมูจาฮิดีน หรือนโยบายการก่อการร้ายของบิน ลาเดน เหล่านี้มาจากไหน
ในเอกสารของ CIA (หน่วยสืบราชการลับนอกประเทศอเมริกา) เข้าไปดูได้ แล้วก็ได้ข้อมูลจากนักข่าวต่างชาติที่ตามเรื่องพวกนี้ หรือจากองค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่ติดตามวิจัยเรื่องเหล่านี้
เข้าไปดูได้ที่ไหน
ในเว็บไซต์ของเพนทากอน (กระทรวงกลาโหมของอเมริกา) ก็ได้ ทำเนียบขาวก็มี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาก็มี รัฐธรรมนูญของอเมริกาทำให้เขาต้องเปิดเผยข้อมูลเยอะมาก หรือยุทธศาสตร์ในการทำสงครามกับต่างประเทศ พวกนี้ต้องเปิดเผย เข้าไปดูได้เลย อย่างคู่มือที่กลุ่มอัลกออิดะห์ใช้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินชนตึก ผมก็มี ในคู่มือบอกเลยว่าต้องยิ้มกับทุกคน ลงจากแท็กซี่ก็อย่าลืมยิ้มให้คนขับ มีรายละเอียดขนาดนั้น พอเจ้าหน้าที่ได้คู่มือนั้นมา เมื่ออยู่ในกระบวนการสอบสวนเขาก็ต้องทำเป็นไฟล์ บางที่เป็นความลับ แต่บางที่ก็ไม่เป็น เข้าไปดูที่ FBI (หน่วยสอบสวนกลางภายในประเทศอเมริกา) ปรากฏว่าไม่มี เขาขอปิดเป็นความลับ มามีที่อังกฤษ เขาใส่ไว้ในสำนวนฟ้องทั้งเล่มเลย เราก็แค่กดมันออกมาจากเว็บ
ข้อมูลเหล่านี้ใครเข้าไปอ่านก็ได้
ใช่ครับ เช่น ถ้าคลิกเข้าไปดูที่ US Department of State (กระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา) เข้าไปดูที่ Non-NATO เราจะเจอว่าประธานาธิบดีเขาตกลงอะไรกับใครในทุกๆ วันเรื่องอะไร เพราะเป็นข้อมูลที่ต้องเปิดเผย เช่น ในวันที่ 31 ธันวาคม 2003 นายบุชประกาศว่าการที่รัฐบาลไทยเข้าเป็นพันธมิตรที่สำคัญของอเมริกานั้น อเมริกาได้ตอบแทนเราใน 2 ข้อใหญ่ อันแรก ไทยมีสิทธิจะมีคลังอาวุธของอเมริกาในประเทศไทยได้ อันที่สอง ไทยจะได้ผลประโยชน์จากการได้สิทธิซื้อระบบอุปกรณ์ และเทคโนโลยีดาวเทียมทางธุรกิจ เขาระบุแม้กระทั่งว่าที่คุณทักษิณแอบไปพบกับบุช 45 นาที ที่บอกว่าลับห้ามคนไทยอ่านเนี่ย เข้าไปดูสิครับ เขาคุยกันเรื่องเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือก็อ่าน เดี๋ยวเกาหลีเหนือก็หันหัวรบมาทางเมืองไทยหรอก
วันที่ 3 มิถุนายน 2003 ประเทศไทยลงนามกับสถานทูตอเมริกาว่าถ้าคนอเมริกันและทหารอเมริกัน
เข้ามาก่ออาชญากรรมในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เราจะไม่ส่งเขาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ผมก็ถามคุณสุรเกียรติ (เสถียรไทย)
ว่าเขากำลังจะมาฆ่าใครหรือ ถึงต้องมาทำสัญญาก่อนว่าเขาจะไม่ต้องขึ้นศาล
ข้อมูลแบบนี้ฝ่ายค้านทราบไหม
ไม่รู้ ทราบบ้าง ไม่ทราบบ้าง
ทำไมถึงไม่เคยเป็นประเด็นอภิปรายในสภาบ้างเลย
ที่ห่วงก็คือ ถ้าฝ่ายค้านหยิบขึ้นมา รัฐบาลก็จะหยิบที่สิ่งฝ่ายค้านเคยทำมาเอามาพูดบ้าง
เราฝากความหวังไว้กับสื่อมวลชนได้แค่ไหน
โทรทัศน์นี่หวังไม่ได้เลยเพราะมันเป็นธุรกิจไปหมดแล้ว แล้วก็ถูกควบคุมโดยนายกฯ โดยรัฐบาล ถึงแม้เราจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าสื่อมวลชนต้องมีอิสรภาพ แต่ในความเป็นจริงก็ทำไม่ได้ ในประเทศทุนนิยมหนักๆ เขาถึงต้องมีกฎหมายควบคุม ถึงไม่มีการฟ้องร้องสื่อมวลชนเพราะกฎหมายห้าม คนรับรู้ได้ว่านี่สื่อมวลชนวิจารณ์ ต้องอ่านหลายๆ สื่อ แต่สื่อเราลำบากทั้งถูกครอบงำโดยธุรกิจ โดยอำนาจ แล้วก็ยังมีการคุกคามด้วยการฟ้องร้องสั่งสอน ถึงสื่อจะชนะ แต่การต้องไปขึ้นศาล 10 ปีก็ทำให้เขาหมดทางทำมาหากิน หรืออาจจะแพ้เพราะไม่มีกำลังเงินจะไปหาทนายมาสู้
กลับมาที่เรื่องภาคใต้ หลังจากที่กลุ่มผู้ก่อการร้าย 969 คนมอบตัวแล้ว เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
เมื่อ 969 คนมามอบตัว บางส่วนก็เป็นสายข่าวให้ทหารเพื่อสร้างความยุติธรรมในภาคใต้ เป็นการร่วมมือกันทั้งศาสนา ทั้งชาวบ้าน เพราะฉะนั้นกระบวนการดูแลปราบโจรในช่วงนั้นจึงเป็นเรื่องของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ช่วยกัน ถ้าเราไปถามโต๊ะครู ถามอิหม่าม ถามพระว่ารู้จักคนในหมู่บ้านไหม 500 คน 800 คน รู้จักหมด ขี่มอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อกก็จำได้ ก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครทำอะไรก็รู้กันหมด สมัยก่อนตำรวจจะจับใครก็ไปคุยกันที่มัสยิดว่าคนนี้ผิดใช่ไหม แล้วก็ช่วยกันจับ เขาถึงรู้หมดว่าใครอยู่ที่ไหน
อะไรทำให้คนเหล่านี้ตัดสินใจมอบตัว
เขาเชื่อในคุณธรรมของผู้นำ นายกรัฐมนตรีในช่วงปีพ.ศ.2523-2543 สังวรว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรักษาใจคน 1.7 ล้านคนด้วยพระเมตตา ยึดพระบรมราโชบายของรัชกาลที่ 6 ในการดูแลภาคใต้
ข้อแรก คือ ห้ามกดขี่เบียดเบียนศาสนาอิสลาม ข้อสอง ทำอะไรต้องดีกว่ามาเลเซีย ข้อสาม ห้ามข้าราชการเลวๆ ไปอยู่ นั่นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 นะ สมัยนายกฯ ทุกท่านที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีความคิดอยากฆ่าใคร ความสัมพันธ์ของป๋า (พล.อ.เปรม) กับประชาชนเป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่แข็งแรงกว่าที่มีหน้าที่ช่วยดูแลคนอ่อนแอกว่า เมื่อชาวบ้านมีปัญหาความไม่ยุติธรรม ศอ.บต.ก็สามารถโยกย้ายข้าราชการกดขี่ข่มเหงให้ได้ ทำอย่างนี้ชาวบ้าน
ก็มั่นใจ จำนวนผู้ก่อการร้ายถึงลดลง จนเด็กรุ่นนี้ในภาคใต้ไม่รู้เรื่องเลยเกี่ยวกับกระบวนการแบ่งแยกดินแดน เด็กรุ่นนี้ซื้อครีมทาหน้าขาวหมดแล้ว อยู่ในศาสนา มีชีวิตที่น่ารักเหมือนเด็กทุกแห่ง
แปลว่าอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนนั้นไม่มีอยู่จริงแล้ว
มีอยู่ในคนอายุ 70-80 ปี ไม่กี่คน น้อยจนมันเป็นไปไม่ได้แล้ว พวกที่อยากแบ่งแยกดินแดน เขาหนักใจเด็กของเขามากกว่าหนักใจทหารเราอีก เพราะเด็กมันไม่เอาแล้ว ขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว ซื้อครีมหน้าขาวแล้ว มันจบไปแล้ว สอง คือวิธีคิดของเขามันเปลี่ยนไป ไม่ผูกพันกับเจ้ารัฐปัตตานีอะไรอีกแล้ว สาม ผมเคยถามคุณทักษิณ (ชินวัตร) ว่าช่วยแบ่งภาคใต้ให้ดูหน่อยสิว่าจะแบ่งได้ยังไง ก็แบ่งไม่ได้ สหประชาชาติก็รับรองไม่ได้ จะรับรองได้
ก็ต่อเมื่อต้องเป็นรัฐอิสระมาก่อนแล้วถูกยึดครอง แต่นี่ไม่ใช่ยึดครอง เราอยู่กันแบบนี้มานานแล้ว ถ้าบอกว่าเมื่อ 200 ปีก่อนเคยเป็นรัฐอิสระแล้วกรุงรัตนโกสินทร์ยกทัพมาตี ถ้าเงื่อนไขนี้ก็ต้องคืนกันจมเลย อเมริกาก็ต้องคืนให้อินเดียนแดง ออสเตรเลียก็ต้องคืนให้ชนพื้นเมืองเดิมพวกอะบอริจิน การแบ่งแยกดินแดนมันเป็นแค่แผลเป็นในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนไปสร้างความขมขื่น ความอยุติธรรมให้ เมื่อมีคนคิดต่อสู้เขาก็จะไปยกเรื่องที่รวมทุกคนไว้ด้วยกัน คือเรื่องศาสนา หรือเรื่องชนชาตินิยม แบ่งแยกดินแดน
ตอนที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาเหลือโจรอยู่สักเท่าไหร่
พ.ต.ท.43 รายงานว่า โจรที่เคยมีหลายพันคนในปีพ.ศ.2523 เหลือเพียง 70-80 คน ในปีพ.ศ.2543 เป็นโจรกลุ่มเก่าๆ ซึ่งจบไปแล้ว ไม่ปฏิบัติการอะไรแล้ว พวกที่เป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนโดยอุดมคติ
ก็มีอายุ 70-80 ปี น้อยใจไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว การก่อเหตุร้ายใน 3 จังหวัด เมื่อปีพ.ศ.2543 เหลืออยู่ 32 ครั้ง และก็ไม่โหดเหี้ยมเหมือนปัจจุบัน แต่ปีพ.ศ.2547 เพิ่มขึ้นเป็น 1,253 ครั้ง ใน 2 ปีมีคนถูกฆ่าตายไปแล้วมากกว่า 1,000 ราย ไม่รวมผู้บาดเจ็บ พิการ กำพร้า เป็นหม้าย และหวาดผวาอีกหลายหมื่นคน ทำไมโจรแบ่งแยกดินแดนที่เคยมีจำนวนแค่ 70 คน เมื่อปีพ.ศ. 2544 ถึงมีแนวร่วมเพิ่มเป็นพันๆ คน ในปีพ.ศ. 2548 รัฐบาลนี้ทำอะไรลงไป
รัฐบาลทำอะไรลงไป
ตอนที่นายกฯ ทักษิณนี้เข้ามารับตำแหน่งเมื่อปีพ.ศ. 2544 พอรู้ว่าเหลือโจรอยู่ 70 คนก็บอกว่าโจรกระจอก รู้หมดแล้ว เดี๋ยวจะจัดการให้หมด แล้วก็สั่งยุบศอ.บต. และพ.ต.ท.43 เมื่อปีพ.ศ. 2545
นายกฯ ให้เหตุผลในการยุบว่า
ตอนนั้นมีตำรวจที่ประพฤติไม่ดีอยู่ในสำนวนสอบสวนของ ศอ.บต.ร้อยกว่าคน พวกตำรวจก็เลยอยากยุบ ท่านก็มาจากสายตำรวจ ศอ.บต.ประกอบด้วยทั้งตำรวจและทหารที่ดี แต่ช่วงนั้นคนที่ถูกสอบสวนส่วนใหญ่เป็นตำรวจ และเจ้าหน้าที่บางส่วน อีกเหตุผลคือ มีความรู้สึกว่า ศอ.บต. เป็นโครงสร้างของพวกประชาธิปัตย์
ถ้าจะชนะเลือกตั้งในปีพ.ศ. 2548 ก็ต้องจัดการกับโครงสร้างนี้ซะ
เกิดอะไรขึ้นหลังจากยุบศอ.บต.
เกิดการอุ้มฆ่าเยอะมาก ช่วงนั้นเป็นช่วงฆ่าตัดตอนยาเสพติดด้วย คุณสมชาย นีละไพจิตรก็ถูกอุ้ม
คุณสมชายเป็นทนายความที่ต่อสู้เพื่อคนยากไร้มาตลอด 20-30 ปี ช่วยทำคดีให้แพะ ให้คนที่ถูกยัดเยียดข้อหาจำนวนมาก คดีทางภาคใต้นี่เยอะเลยทั้งถูกยัดข้อหา ถูกทารุณ ก็สู้คดีจนศาลปล่อยผู้บริสุทธิ์
คนที่ถูกอุ้มฆ่าส่วนใหญ่เป็นใคร
สายข่าว เป็นที่รู้กันว่าข้อมูลที่เข้ามายังศอ.บต.ที่บอกว่าใครคือพวกใช้ศาลเตี้ยใครคือพวกโจร มาจากใครบ้าง ก็คือเอ็งที่ขี้ฟ้องทั้งหลาย ชาวบ้านที่ช่วยให้ข่าวก็ถูกพวกศาลเตี้ยอุ้มฆ่า แล้วก็อ้างว่าเป็นพวกก่อการร้ายบ้าง ค้ายาบ้าง อ้างสารพัด แต่ไม่ได้เอามาดำเนินคดี หายไปเฉยๆ ช่วงนั้นคนหายเยอะแยะไปหมด พวกที่หายมากที่สุดก็คือสายข่าวทหาร ที่นั่นก็เลยกลายเป็นระเบิด ชาวบ้านก็กลัวไปหมด พอคุณสมชายหาย ความขมขื่น
ก็เกิด พอมีการปล้นปืนๆ ก็หายวับไปเลย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าไปไหน ถ้าสมคบกัน 2 คนแล้วไม่มีคนรู้ อันนี้ปกติ แต่นี่คนเป็นร้อย ปล้นปืน 400 กว่ากระบอกโดยที่ไม่มีใครรู้เลย ตลกมากเลยนะ แสดงว่าหลังจากยุบศอ.บต.
การเชื่อมโยงข้อมูลความจริงทั้งหมดหลุดหายหมดเลย
หลังจากยุบศอ.บต. แล้วกระบวนการสืบข่าวทำกันยังไง
ข้อมูลในยุคของศอ.บต. เป็นข้อมูลที่มาจากเรื่องจริงทั้งหมด เพราะคนจริงเป็นคนบอก แต่พอยุบศอ.บต. ความจริงก็ถูกตัดทิ้ง โจรก็เข้ามารับรู้ความทุกข์แทน แล้วเข้ามาจัดการให้แทน ใครกดขี่เหรอ ยิงให้เอาไหม ชาวบ้านก็รู้สึก เออ จัดการมันซะบ้างก็ดี ทีนี้พอรัฐบาลอยากรู้ข้อมูลบ้างทำไง ก็ส่งคนของตัวเองลงไปสืบ มันคนละเรื่องแล้ว เพราะไม่ได้มาจากเรื่องจริง คนไปสืบก็ต้องเล็งตานายว่าอยากได้อะไรด้วย ต้องไปสร้างข่าวให้ตรงกับนาย สร้างเรื่องให้ตรงกับข่าว ตัวเองจะได้มีความสำคัญ อันไหนพูดไปนายโกรธก็ไม่พูด เรื่องมันก็เริ่มไม่จริงแล้ว พอลงไปในพื้นที่มันก็มีคนที่ทำตัวเป็นผู้รู้ เขาถึงพูดกันว่ามันมีพวกไม่รู้แล้วไม่ชี้ พวกรู้แต่ไม่ชี้ พวกรู้และชี้ ซึ่งพวกนี้จะดี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก พวกไม่รู้แต่ชอบชี้ ชี้สุ่มสี่สุ่มห้าว่าคนนั้นพวกนี้เป็นคนทำ มันก็ไปอุ้มผิด
เรื่องนี้ผมเพิ่งเขียนลงหนังสือพิมพ์ไป เป็นรายงานหน้าแรกของกอส. (คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ) ด้วย ผมไปพบกับคุณสีหมะ สามีเป็นทหารผ่านศึกปลดประจำการแล้วชื่อมะตอลาฟี
สีหมะมีลูก 2 คน คืนวันที่ 14 มกราคม พ.ศ 2547 มีกลุ่มคนคลุมหน้า 10 คนพังประตูเข้ามาลากมะตอลาฟีจากที่นอนต่อหน้าลูกเมียเอาไปซ้อม ถามว่าปืนที่เอ็งปล้นเอาไปไว้ที่ไหน มะตอลาฟีก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ พวกนั้นก็ซ้อม บอกว่าเอ็งขายหมดแล้วล่ะสิ เอาเงินไปไว้ที่ไหน แล้วก็ลากมะตอลาฟีออกไปตอนสองยาม วันที่ 17 มกราคม ก็มาโยนศพมะตอลาฟีไว้ใกล้ๆ บ้าน ถูกทุบตายทั้งตัว ซี่โครงหัก ถูกไฟฟ้าช็อต ชาวบ้านเขารู้กันทั้งตำบลว่ามะตอลาฟีบริสุทธิ์ แต่ไม่มีการสืบสวน ไม่มีการจับผู้ร้าย ตอนนั้นมีแบบนี้เยอะเลย ลากไปทุบๆ เอา
บางคนได้กลับ บางคนก็ไม่ได้กลับ
ถ้ามองโลกในแง่ร้ายที่สุด เรารู้ได้ยังไงว่ามะตอลาฟีไม่ได้เอาไปจริงๆ
ก็ทำไมไม่จับเขามาฟ้องศาล ทำไมถึงตั้งศาลเตี้ย มาตั้งศาลเตี้ยกันเต็มไปหมด ทำแทนศาล แทนตำรวจ ทนาย อัยการ ผู้สอบสวน นึกเอาเองหมด งั้นก็นึกเอาเองได้เลยว่าใครก็ได้ใน 2 ล้านคนเป็นคนที่ควรตาย ก็ต้องฆ่าหมด ไม่ใช่ทำตัวเหมือนโจร เจ้าหน้าที่ดีๆ ที่เสียสละไม่ทำแบบนี้หรอก เราต้องจับโจร แต่ต้องจับโดยมีหลักฐานและใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่ลองฆ่าคนบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ เผื่อได้ประโยชน์ ทุกคนต้องได้รับความยุติธรรม ตำรวจก็ต้องได้รับความยุติธรรมแบบตำรวจ ชาวบ้านก็ต้องได้รับความยุติธรรมแบบชาวบ้าน โจรก็ต้องได้รับความยุติธรรมแบบโจร เช่น ถ้าทำแบบนี้ติดคุก 40 ปี ทำแบบนี้ประหารชีวิต นั่นคือความยุติธรรม ไม่ใช่ไปตกลงแอบยิงกันเอง เราต้องปราบผู้ร้าย ต้องปกป้องคนดี ไม่ใช่คนดีถูกฆ่า แต่ผู้ร้ายไม่มีใครทำอะไร คนมันก็ไม่อยากช่วยแล้ว เพราะเดี๋ยวถูกฆ่าอีก แล้วอย่างนี้บ้านเมืองจะอยู่กันยังไง ชาวบ้านบอกว่ามีผู้ถูกอุ้มฆ่าจำนวนมาก ใน 3 จังหวัด โดยไม่มีใครรู้ว่าใครทำ
คนที่ถูกอุ้มฆ่าที่ว่าคือผู้บริสุทธิ์
เป็นผู้บริสุทธิ์ ก็ศาลยังไม่ได้ตัดสินเลย ก่อนยุบศอ.บต.ในปีพ.ศ. 2541มาเลเซียจับหัวหน้ากลุ่มพูโลให้ 4 คน ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ นั่นแม่ทัพเลย เขาก็ส่งมาให้ไทย เพราะรู้ว่าเราใช้กฎหมาย เดี๋ยวนี้เขาไม่แน่ใจแล้ว
นอกจากกลุ่มพูโลแล้ว ยังมีกลุ่มก่อการร้ายอะไรที่มีบทบาทสำคัญอีก
พวกเปอมูเดอในกลุ่มบีอาร์เอ็นจะรุนแรงหน่อย เปอมูเดอ แปลว่า วัยรุ่น แต่สื่อมาเขียนขบวนการเปอมูเดอ กลายเป็นเหมาวัยรุ่นทั้งหมดเป็นขบวนการก่อการร้ายไป เหตุการณ์ในภาคใต้ตอนนี้คาดกันว่ามาจากกลุ่มนี้เยอะ ทำในสิ่งที่ไม่มีศีลธรรม ฆ่าคนตามถนน พวกบีอาร์เอ็นรุ่นเก่า พูโลรุ่นเก่าถึงออกแถลงการณ์ว่าไม่เห็นด้วย
ใครจะอยากมาอยู่กับขบวนการที่ฆ่าคนตามถนน อุดมการณ์ทางการเมืองมันผิด เขาถึงไม่ให้ใครรู้จักตัว พวกวัยรุ่นที่แตกหน่อมาจากบีอาร์เอ็น
กลุ่ม GMIP (Gerakan Mujahidin Islam Pattani) คือกระบวนการของกลุ่มที่ไปฝึกรบกับกลุ่มมูจาฮิดีน ใน 969 คนที่มามอบตัวไม่มีกลุ่มนี้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะพวกเขาเป็นนักรบที่ตกลงแล้วว่าต้องการตายเพื่อศาสนา แต่ในเมื่อในเมืองไทยไม่มีเงื่อนไขนั้นมันก็จบ พวกเขาก็ยังอยู่ในเมืองไทย เป็นชาวบ้านปกตินี่แหละ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีความขมขื่น ถูกละเมิดในศาสนา ถูกกดขี่ข่มเหง เขาก็ต่อสู้
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มพูโลใหม่ และกลุ่มบีอาร์เอนซี ซึ่งคาดว่าไม่มีบทบาทมากนักในปัจจุบัน
ทำไมโจรพวกนี้ถึงฆ่าคนบริสุทธิ์
วันที่มีการฆ่าตัดคอคนแรกที่นราธิวาส วันนั้นผมก็อยู่ ตัดเสร็จก็เขียนทิ้งไว้ว่า ‘มึงฆ่าคนบริสุทธิ์ กูก็จะฆ่าคนบริสุทธิ์’ ผมถึงบอกว่าทั้งมึงและกูน่ะไม่เคยตาย แต่ผู้บริสุทธิ์ตายทุกวัน ทั้ง 2 ข้างอยู่ในเงามืด เดี๋ยวโต๊ะครูตาย เดี๋ยวพระตาย คือไม่ใช่แค่ฆ่าคนบริสุทธิ์ แต่โจรกำลังยั่วยุให้มีการตอบโต้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ เพื่อจะได้ทำให้ชาวบ้านคับแค้นจนกลายเป็นแนวร่วมให้โจร ชาวบ้านที่เป็นพุทธก็หวาดกลัวโจร ส่วนชาวมุสลิมก็กลัวทั้งโจรทั้งพวกศาลเตี้ย น่าเห็นใจมาก ทุกครั้งที่เกิดเหตุต้องจับโจรให้ได้ แต่นี่ตายไปเป็นพันคนแล้วยังจับแกนนำโจรไม่ได้เลย
ถ้ารัฐบาลบอกว่าก็พันคนที่ตายไปนี่แหละมีโจร 70 คนรวมอยู่ด้วย
ถ้าแกนนำโจรตายมันก็ควรจะจบไปแล้ว แต่ทำไมมันมากขึ้นล่ะ ที่ยังจับไม่ได้แสดงว่าระบบข่าวมันพังหมดแล้ว ผลสำรวจของกระทรวง ICT ชาวบ้าน 82.9 เปอร์เซ็นต์บอกว่าหวาดกลัวเจ้าหน้าที่
ความหวาดกลัวเจ้าหน้าที่มาจากอะไร
มีการอุ้มฆ่ามาตลอด ก็ไม่รู้ใครทำนะ บางทีโจรก็ทำเองเพื่อป้ายไปให้เจ้าหน้าที่ แต่มันต้องมีมูล มันถึงต่อได้ขนาดนี้ มูลก็คือ คนบางคนตายขณะทำละหมาด โจรมุสลิมทำไม่ได้หรอก โจรที่นั่นกลัวที่สุดก็คือมัสยิดพิพากษาว่าตายแล้วจะไม่ไปละหมาดให้ นั่นคือสิ่งที่คนกลัวที่สุดเพราะว่าจะไม่ได้ไปพบพระเจ้า
เป็นโจรแล้วยังกลัวไม่ได้พบพระเจ้าอีกหรือ
อิสลามเป็นเรื่องวิถีปฏิบัติที่ไม่สามารถแยกศาสนาออกจากชีวิตประจำวันได้ คนมุสลิมทุกคนเชื่อว่าตายไปก็จะถูกพิพากษาโดยพระเจ้า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือโจรก็เชื่อว่าชีวิตของเขาจะเดินไปตามทางนี้
มีหลายคนถูกยิงทิ้งขณะละหมาด แล้วไปบอกว่าโจรฆ่าตัดตอนกันเอง ชาวบ้านเขารับไม่ได้หรอก เหมือนบอกว่าคนพุทธฆ่าพระ เจ้าหน้าที่ฆ่าเอง เราเชื่อไหม เจ้าหน้าที่เลวยังไงก็ฆ่าพระไม่ได้ เหมือนกันครับ ฉะนั้นหลายๆ ข่าวที่ออกไปชาวบ้านเขารับไม่ได้ มันเป็นเรื่องโกหก หรือข่าวที่นายกฯ บอกว่ามีโรงเรียนปอเนาะฝึกอาวุธ มีสนามซ้อมยิงปืน พบปืนด้วย ผมก็ไปดูว่ามันจริงไหม สนามซ้อมยิงปืนที่ว่าคือต้นมะพร้าวมีรู เอามือแยงเข้าไปข้างในเป็นโพรงด้วงมะพร้าวทั้งนั้น ถามว่าปืนอยู่ไหน พอไปตามก็ปรากฏว่าเป็นปืนของผู้ใหญ่บ้านได้รางวัลผู้ใหญ่บ้านดีเด่นได้รับปืนรางวัลจากกระทรวงมหาดไทย แต่ลูกเจ้าของโรงเรียนถูกยิงทิ้งไปแล้ว 3 คนกับเพื่อนในบ้าน ถูกยิง 51 นัด ยิงอยู่ 10 นาที ขณะทำละหมาด ไม่รู้ว่ากลุ่มไหนทำ แต่ถ้าไม่มีการสอบสวนจับกุม ก็จะเกิดความคับแค้นจนไปเป็นแนวร่วมกับโจรอีก
สิ่งเหล่านี้สะสมความขมขื่นให้ชาวบ้านมาเรื่อยๆ
ใช่ โจรน่ะต้องปราบ เราสามารถปราบโจรได้เลย 70 คน ถ้าไม่มีแนวร่วม แต่การที่เราไปกระตุ้นแนวร่วมถือเป็นความพลาดพลั้งครั้งใหญ่ คนที่มาเป็นแนวร่วมกับโจรมันเกิดจากความขมขื่น ถูกกดขี่ข่มเหง ถูกด่าทอ เอาเปรียบ สิ่งที่กรรมการสมานฉันท์พยายามทำก็คือการกันแนวร่วมออกจากโจร แยกน้ำออกจากปลา
ปลาก็ตาย โจรอยากรบกับทหารเหรอ มี 70 คน ทหารตั้งแสน เขาไม่อยากรบหรอก สิ่งที่เขาทำคือพยายามให้รัฐบาลไปปราบเอาคนบริสุทธิ์ ก็ปล่อยข่าวลวงเยอะแยะ
สิ่งที่โจรทำก็คือทำตัวอย่าง เช่น ตัดคอ เพื่อให้พวกที่ขมขื่นทำตาม จุดระเบิด เพื่อให้พวกนั้นระเบิดตาม เขาไม่ได้สั่งนะ ข้างล่างมันเป็นข่าย เป็นจุดๆๆๆ แต่ไม่ได้เป็นเครือ ไม่เชื่อมโยง เราจะเห็นว่าแต่ละที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยเหมือนกัน เหมือนกันเป็นย่านๆ ไม่ได้มีใครสั่ง แต่ความขมขื่นมันสั่ง สิ่งที่รดน้ำพรวนดินให้ข่ายเหล่านี้เจริญงอกงามคือความขมขื่น โดยคำพูดดูถูกดูแคลน การพูดเท็จในเรื่องของเขา โจรก็กระตุ้นด้วยการทำร้ายๆ เช่น ฆ่าพระจะได้โมโห รัฐบาลก็แบ่งให้เสร็จเลยว่าคน 3 จังหวัดนี้ไม่ดี โจรมันยังคิดไม่ได้เลย พอข่าวออกมาอย่างนี้ชาวบ้านใน 3 จังหวัดเขาก็รู้สึกว่าถูกแบ่งแล้ว มันเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่เรื่องของวัตถุ
ความคิดที่สรุปเหมาเอาว่าคนทั้ง 3 จังหวัดไม่ดีเริ่มต้นมาจากไหน
เพิ่งมามีตอนรัฐบาลชุดนี้ คือนายกฯ ท่านชอบด่ากราดหมด ก็ได้คะแนนการเมืองจากอีก 73 จังหวัด
ที่เหลือ แต่คนที่นั่นจะรู้สึกหมดหวัง หดหู่ เพราะมันไม่ตรงกับความจริง ถ้าเริ่มต้นคิดว่าคน 3 จังหวัดไม่ดี ความคิดเราก็จะจมอยู่อย่างนั้น มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าเราไปใน 3 จังหวัด เราจะพบความสงบทั่วไปชาวบ้านเกือบ 2 ล้านคนเป็นคนดี เรื่องของเหตุการณ์ความไม่สงบถ้าเราเรียกว่าเป็นอาชญากรรม ก็มีจำนวนน้อยกว่าอาชญากรรมที่เกิดในกรุงเทพฯ เสียอีก แต่เป็นเหตุที่แตกต่างกัน ที่นั่นมีคนดีมีอยู่ 99.5 เปอร์เซ็นต์ มีโจรแค่ไม่กี่คน คนไม่ดีมันมีอยู่ทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นพุทธหรือมุสลิม ไม่ว่าตำรวจหรือโจร เรากำลังต่อสู้กับคนไม่ดี แต่อย่าไปแบ่งพรรคแบ่งพวกแบบนี้เลย พอแบ่งพวกมันรวมหมดเลยทั้งดีและไม่ดี แล้วคนดีก็จะโดนก่อน เพราะคนทำเลวทำเสร็จมันจะหลบ ยิ่งถ้าไปคิดว่าคนที่อยู่ในศาสนาอิสลามทั้งหมดเป็นพวกเดียวกับพวกแบ่งแยกดินแดนนี่ยุ่งเลย จะเข้าใจผิดอย่างแรง ยิ่งไปคิดว่าเป็นพวกเดียวกับโจร เราเลยกลายเป็นคนทำลายภาคใต้เสียเอง แบบนี้โจรชอบ
เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ว่าปัญหาภาคใต้เกิดจากโจรที่ทำตามอุดมการณ์ทางศาสนา ถูกศาสนาสอนให้ก่อความรุนแรง ทำไมเราถึงเข้าใจกันอย่างนั้นได้
อาจเพราะในช่วงแรกของปัญหา คุณทักษิณไปพูดว่าพวกโง่เขลา พวกหลงผิดในศาสนา เราไม่ควรไปเรียกว่าโจรมุสลิม โจรที่ห้อยพระเครื่องปล้น เราก็ไม่เรียกว่าโจรพุทธ มุสลิมเขาสอนให้คนรักสันติ มุสลิมอ่างทองเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ มุสลิมบึงกุ่มเขาก็ค้าที่ดิน มันไม่ใช่เรื่องของศาสนา มีคนนับถือมุสลิม 1,400 ล้านคนทั่วโลก คนพวกนี้ไม่บ้าไปหมดเลยหรือ พูดอย่างนี้อันตรายเพราะเป็นการพูดแบบเหยียดหยันเหมือนจะดูถูกศาสนา
แล้วเรื่องการญิฮาด
หลังๆ คำว่าญิฮาดมักถูกใช้บ่อยๆ กับเรื่องระเบิดพลีชีพ แต่ในศาสนา ญิฮาดคือการเสียสละทุกอย่างเพื่อศาสนา เสียสละความโลภ หรืออะไรก็ตาม มันอาจจะถูกนำมาใช้อ้างเพื่อให้เกิดการต่อสู้ แต่ไม่ใช่ต้นเหตุ อาจพูดว่าเป็นการเอาศาสนามาอ้างผิดๆ เอาศาสนามาบิดเบือนได้ แต่ตัวคำสอนของศาสนาไม่ได้ผิด
เหตุการณ์ที่ตันหยงลิมอก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่คนนอกพื้นที่ส่วนใหญ่รู้สึกว่าชาวบ้านเหมือนโจร
ที่โหดเหี้ยมอำมหิตมากๆ ความจริงที่ถูกส่งมาถึงที่นี่เป็นความจริงแบบเดียวกับที่เกิดเหตุไหม
ข้อมูลความจริงไม่ได้ถูกส่ง มันเป็นข้อมูลที่ถูกเขียนจากกรุงเทพฯ เดาว่าเขาจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมถึงพยายามบอกว่ามันต้องมีนักข่าวที่ฝังตัวลึกที่นั่น ข่าวที่เราได้ยินคือมีการฆ่านาวิกโยธินอย่างทารุณ แต่เหตุการณ์มันเริ่มด้วยการกราดยิงร้านน้ำชาที่ตันหยงลิมอตอน 2 ทุ่ม เป็นการกราดยิงเป็นแนวยาวประมาณ 60 เมตร ตามถนนมาเรื่อยโดนบ้าน 4 หลังรวมร้านน้ำชา ถ้านับกระสุนตามรูเกิน 60 รู ยิงด้วยปืนกล 3 กระบอกจากท้ายรถกระบะ เด็กตาย 2 คน บาดเจ็บ 5 คน อีก 5 นาทีเจ้าหน้าที่ก็มาถึง ชาวบ้านตั้งคำถามว่า หมู่บ้านนี้มีด่านอยู่ก่อนทางเข้าหมู่บ้านทั้ง 2 ทาง มีทั้งหมด 3 ด่านหัวท้าย รถกระบะที่มีปืนกล 3 กระบอกวิ่งผ่านด่านโดยด่าน
ไม่รู้ได้อย่างไร สวนกับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาด้วย หายไป 2 วัน ผู้บริหารบ้านเมืองก็ตอบว่าก็โจรมันอยู่ในหมู่บ้าน
มันไม่ได้ออกมา ตอบแบบนี้กลายเป็นช่วยโจรให้มีแนวร่วม แทนที่จะบอกว่าต้องสืบสวนให้ได้ ช่วยกันร่วมมือค้นหา ชาวบ้านโดนข่าวแบบนี้ก็หดหู่ นาวิกโยธินถูกฆ่าตายทารุณมาก โจรควรถูกจับ แต่เด็กนั่นก็ถูกยิงทารุณเหมือนกัน โจรที่ยิงกราดก็ต้องถูกจับทั้งคู่ ต้องหาความจริง ไม่ใช่มาแบ่งเป็นพวก วิธีแบ่งพวกนี่มันเกิดปัญหาเยอะเลย
หลังเกิดเหตุการณ์ได้เข้าไปในพื้นที่ตันหยงลิมออีกไหม
ผมได้ไปนั่งคุยกับเด็กและชาวบ้านเป็นสิบครอบครัว มีครอบครัวหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับมัสยิด ชื่อต่วนมีเมาะมีลูก 5 คนถูกจับไป ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ๆ บอกว่าการก่อเหตุร้ายประกอบไปด้วยกลุ่ม 5 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำให้เชื่อทางศาสนา กลุ่มปฏิบัติการ กลุ่มสร้างข่าว กลุ่มสืบข่าว และกลุ่มเสบียง ต่วนมีเมาะเลี้ยงลิงตัวนึงไว้รับจ้างขึ้นมะพร้าวกับสะตอในหมู่บ้าน ที่นั่นเขาใช้วิธีแบ่งครึ่งระหว่างเจ้าของสวนกับเจ้าของลิง ขึ้นสะตอก็แบ่งสะตอ ในบ้านนี้เลยมีสะตอดองเก็บไว้กินเยอะ ชาวบ้านคิดว่าเจ้าหน้าที่จับต่วนมีเมาะไปเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นกลุ่มเสบียงเนื่องจากมีสะตอดองในบ้านเยอะ ชาวบ้านก็งงว่าทำไมเอาสะตอดองเป็นหลักฐาน แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ปล่อย
เราได้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์ในครั้งนี้บ้าง
ที่ตันหยงลิมอเป็นตำบลที่มี 8 หมู่บ้าน หมู่บ้านที่เกิดเหตุไม่ใช่หมู่บ้านสีแดง ที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นหมู่บ้านสีแดงนั้นผิดหมู่บ้าน ถ้าเรามองออกจะรู้ว่ามันเกิดปัญหาการได้ข้อมูลเท็จ เพราะโจรที่ทำอยู่ในมุมมืดคอยจังหวะยั่วให้คนนี้ฆ่าคนนี้ ทำให้คนดีๆ มาฆ่ากันเอง เจ้าหน้าที่ก็ทำถูกแล้วที่ไม่เข้าไปแย่งตัวนาวิกโยธิน เพราะถ้าเจ้าหน้าที่เข้าไป นาวิกโยธินก็ถูกฆ่าตาย แต่ในโจรที่อยู่ในมุมมืดก็จะยิงเด็ก ยิงผู้หญิง ยิงคนบริสุทธิ์ด้วย ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนั้นก็จะร้ายแรงจนคุมไม่ได้ โจรก็คอยแหย่แบบนี้ รัฐบาลก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นโจรก็เลยไม่รู้จะปราบใคร
ผมไปถามแม่ของเด็กที่ตายทั้ง 2 คน เขาบอกเลยว่าอย่าหาคนยิงเลย เดี๋ยวคนยิงเขาโกรธเอา แล้วเขาจะยิงพวกเรามากขึ้น มันเหงาขนาดนั้น แม้แต่ผู้ร้ายที่ยิงลูกยังไม่อยากรู้เลย เพราะกลัวเขามายิงอีก บ้านเมืองมีอะไร ทำไมถึงปกป้องคนบริสุทธิ์ไม่ได้
นโยบายแจกปืน 15,000 กระบอก ให้กับอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน ถือเป็นทางแก้ที่ตรงจุดไหม
ถ้าทุกบ้านมีปืนที่ยุ่งเลย เพราะปืน 80-90 เปอร์เซ็นต์ ไม่เคยเอาไว้ป้องกันตัวเอง ปืนเป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ถูกฝึกมาแล้ว ถ้าคนปกติมีปืนนี่มันอีกเรื่องเลย ถ้าเราขับรถเข้าไปในห้าง เราไม่คืนบัตรจอดรถ แล้วพนักงานรปภ.ยิงเราล่ะ เขานึกว่าเขามีอำนาจ คนที่ขับรถแซงกันถึงลงมายิงกันไง พอมีปืนก็นึกว่าตัวเองมีอำนาจ ไม่มีประเทศไหนเขาแก้ปัญหาด้วยการแจกปืนหรอก
เหตุการณ์นี้จะบานปลายกลายเป็นสงครามได้ไหม
สิ่งที่น่าห่วงก็คือเมื่อไหร่ที่ฆ่าพระ ฆ่าคนตามถนนได้ คนที่ทำอย่างนี้ได้ต้องมีความเชื่อว่านี่คือสงคราม ไม่มีใครฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้จักได้ ยกเว้นทำสงครามกับศัตรู ไม่ได้ดูว่าเป็นคนบริสุทธิ์หรือไม่ แต่เป็นคนอีกชาตินึง ถึงทิ้งระเบิดตายกันเป็นเบือ ฆ่ากันเป็นหมื่นเป็นแสนได้เพราะเป็นสงคราม สภาพแบบนี้น่าห่วงแสดงว่าคนฆ่าต้องคิดว่าเขาอยู่ในภาวะสงครามแล้ว
ข้อมูลเหล่านี้คนที่อยู่ในพื้นที่อย่างสส. หรือสว. ใน 3 จังหวัดก็น่าจะทราบ แต่ทำไมถึงไม่ออกมาเคลื่อนไหวอะไร
ทุกคนกลัวถูกอุ้ม ไม่มีใครกล้า ถ้าเขาอยู่ที่นั่นแล้วถูกขีดว่าอยู่ข้างไหน ไม่ว่าอยู่ฝ่ายไหนก็อันตราย
มันทำให้ทุกคนไม่กล้าออกความเห็น ไม่กล้าพูดกับใคร เพราะรัฐบาลปกป้องเขาไม่ได้
การไปเยือนพื้นที่ 3 จังหวัดของนายกฯ ช่วยได้ไหม
ไม่ช่วยหรอก เจ้าหน้าที่ที่นั่นเขารู้จังหวะขั้นตอนที่ควรจะทำ แต่สิ่งที่นายกฯ ทำมันเป็นเรื่องส่วนตัวทางการเมือง ซึ่งมันไปสร้างปัญหาสำหรับคนในพื้นที่ ชาวบ้านเขาจะรู้สึกยังไง เมื่อนายกฯ ได้แสดงต่อคนภาคกลางเหมือนว่าฉันได้ไปเหยียบรังโจร ถ้าที่นั่นมันไม่ใช่รังโจรแล้วคนดีๆ เขาจะรู้สึกยังไง เขาก็กลายเป็นแนวร่วมไป เช่น พูดว่าผมไม่กลัว ผมจะไป แต่ไปถึงก็มีรถเกราะกันกระสุน 2 คัน สลับนั่ง มีทหารเป็นพัน นี่แหละ ผมไม่กลัว ไม่ผิดเลยที่จะมีการรักษาความปลอดภัยแบบนั้นสำหรับนายกฯ แต่ผิดที่พูด พูดทำไม ถ้าพูดแล้วไม่ทำตรงกับที่พูด
คนที่นั่นเขาก็มองเป็นละคร หรือไปถึงหมู่บ้านในช่วงถือศีลอดก็ถามเด็กว่าถือศีลอดเพื่ออะไร เด็กก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง นายกฯ ก็บอกว่า อย่างนี้ผมคงต้องมาสอนศาสนาเอง การพูดถึงศาสนาแบบผิดๆ แบบนี้จะโดยรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่มันทำให้คนมุสลิมเขาขมขื่น
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ทำไมเราถึงได้ยินแต่เสียงของนายกฯ กับเจ้าหน้าที่รัฐ ทำไมเราถึงไม่ได้ยินเสียงของชาวบ้านผ่านสื่อบ้าง
ต้องบอกก่อนว่าชาวบ้าน 99.5 เปอร์เซ็นต์น่ะเป็นคนดี โจรไม่ต้องให้มันมาพูดหรอก เราต้องให้ชาวบ้านพูดความจริงจะได้รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร พูดถึงความกลัวของเขา พูดถึงความขมขื่นของเขา พูดว่าทำไมถึงเกิดอย่างนี้ แต่ถ้าเขาพูดแล้วไม่ปลอดภัย เขาจะพูดทำไม
แปลว่าสื่อพยายามเสนอข่าวอย่างเป็นกลางแล้ว แต่ชาวบ้านเลือกที่จะไม่พูดเอง
ไม่ใช่ไม่เลือก เขากลัวเพราะญาติเขาถูกยิงตายไปแล้ว สื่อเองก็ไม่ค่อยมีใครเข้าไปลึกมากนัก เพราะฟังภาษาไม่ได้ ไม่เข้าใจวัฒนธรรม คนท้องถิ่นเขาก็อยากออกความเห็นมาก แต่เขาพูดภาษาไทยไม่คล่องก็กังวลว่าจะสื่อสารได้ไม่หมด ตอนนี้มีศูนย์ข่าวอิศราของสมาคมนักข่าวไปตั้งที่นั่น ส่งนักข่าวจากส่วนกลางทุกหน้าข่าวเวียนกันไปอยู่ครั้งละ 2 เดือนทำงานร่วมกับนักข่าวท้องถิ่น ทำข่าวออกมาแล้วหนังสือฉบับไหนจะดึงไปใช้ก็ได้ เป็นศูนย์ข่าวที่เป็นอิสระจากหนังสือพิมพ์ทำให้ไม่อยู่ในอิทธิพลของหนังสือพิมพ์ แต่มันยังช้า กว่าเรื่องจริงจะออกมาได้ก็ต้องรอ 3-4 วัน แล้วข่าวนี้พวกนี้ก็จะไม่อยู่หน้าหนึ่ง ยังไม่สามารถช่วยป้องกันเหตุการณ์จากความเข้าใจผิดได้ แต่ช่วยแก้ความเข้าใจตามหลังได้ สื่อที่ให้ความจริงได้ ณ ที่เกิดเหตุเลยคือวิทยุ ให้ทุกฝ่ายได้พูดความจริงกันหมดว่าตัวเองกำลังคิดอะไรทำอะไร เพราะอะไร จะได้ไม่เข้าใจผิด ไม่ทำอะไรเพราะความกลัว ไม่ให้ใครใช้ข้อมูลเท็จเพื่อไปปลุกระดมใคร ถ้าคนที่นั่นพูดไม่ได้ ก็ให้คนที่อื่นพูดแทนได้ เพราะคนที่อื่นไม่กลัว เขาไม่ได้อยู่ในพื้นที่ วิทยุจะช่วยเรื่องป้องกันเหตุร้ายจากความกลัวได้ ตอนนี้ก็กำลังติดต่อกับผู้บริหารรายการร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้ไปทำรายงานสดจากหมู่บ้านเมื่อเกิดเหตุการณ์ในทันที
มองทางแก้ปัญหาภาคใต้เอาไว้ยังไงบ้าง
ปัญหาที่สำคัญคือข้อมูลความเป็นจริง การไม่รู้ความจริงทำให้เกิดปัญหาเป็นวงจร เริ่มจากการมีพวกศาลเตี้ยอุ้มฆ่า ความคับแค้นทำให้เกิดแนวร่วมโจรมากขึ้น ไปหาข่าวชาวบ้านก็ไม่บอก กลัวทั้งโจรกลัวทั้งพวกศาลเตี้ยเพราะรัฐป้องกันเขาไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ก็เพราะไม่มีข่าว ไม่มีข่าวเพราะมีพวกศาลเตี้ยไปกดขี่เขา ก็ยิ่งเกิดแนวร่วม ถามว่าวงจรนี้จะหยุดที่ไหนก็ต้องหยุดโดยปราบพวกกดขี่ก่อน คนถึงจะบอกความจริงกับเจ้าหน้าที่ที่เสียสละ แล้วทั้งคนกดขี่และโจรก็จะถูกปราบ ถ้ายิ่งปล่อยให้เกิดศาลเตี้ยโดยไม่สอบสวนนี่จบเลย
ผมเสนอทางแก้ปัญหาในสภาว่า อันแรก นายกฯ ต้องขอโทษประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะมันคือการส่งสัญญาณไปยังกระบวนการทั้งหมดว่า ขอโทษ วิธีการเดิมผิดพลาด จะไม่เอาอย่างเดิม
อีกแล้ว ถ้าไม่เริ่มอย่างนี้ก็ไม่มีทางเพราะคนก็ยังรู้สึกว่าเป็นเหมือนเดิม
อันที่สองคือตั้งต้องกลับไปทางเก่า คือต้องตั้งศอ.บต. หรืออะไรที่คล้ายศอ.บต. ออกเป็น พ.ร.บ. มีอำนาจตามกฎหมายที่จะจัดการกับทั้งโจรและคนที่กดขี่ชาวบ้านได้ แล้วที่สำคัญที่สุดผู้นำต้องเป็นคนมีศีลธรรม ต้องเป็นที่ไว้วางใจ ชาวบ้านถึงจะบอกข้อมูล คนนี้ต้องโปรดเกล้าฯ ถ้าแต่งตั้งจากนายกฯ มันเป็นไปไม่ได้ อิหม่ามบางคนบอกว่าไม่รู้จะทำยังไง ทหารให้ไปประชุมก็อยากร่วมมือ แต่พอกลับมาบ้านโจรก็หาว่าเอ็งใช่ไหมที่เป็นคนบอก ถ้าเขาไม่มาร่วมกับเจ้าหน้าที่ก็หาว่าอยู่ฝ่ายโจร เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่มีอะไรป้องกันเขาได้เลย เพราะฉะนั้นต้องมีโครงสร้างที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
โดยรวมคือต้องเปลี่ยนทิศทาง มีองค์กรที่จัดการ และวิธีการจะตามมาเอง ศอ.บต.เป็นการบริหารภาคใต้วิธีพิเศษอยู่แล้ว เคยทำได้ผลมาแล้ว แต่การตั้งศอ.บต.อาจทำให้นายกฯ ไม่ชอบ ถ้านายกฯ ขอโทษก่อนมันก็จบ
เหมือนที่คุณทิววัฒน์เคยเขียนการ์ตูนในกรุงเทพธุรกิจว่า ให้คนไทย 60 ล้านคนพับนก แทนคำขอโทษของคนคนเดียว
ใช่ เราต้องแก้ปัญหาอย่างฉลาด เอาสิ่งที่เขารักมากกว่ามาแก้ปัญหา คือศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้นำศาสนาบอกว่าจบก็คือจบ ถือเป็นการเสียสละเพื่อศาสนา มันต้องใช้สิ่งที่เขารักกว่ามาแก้ คือไม่ว่าเขาจะชอบโจรหรือไม่ชอบ เขาจะชอบชาตินิยมหรือไม่ชอบ แต่เขารักศาสนามากกว่าแน่นอน ไม่ใช่เอาอำนาจที่เขาเกลียดกว่าไปเอาชนะ
ทำไมคนใต้ถึงเคร่งศาสนามากกว่าคนในภูมิภาคอื่นๆ
คงไม่ใช่เคร่ง เรียกว่าสอดคล้องดีกว่า เขาใช้ชีวิตมาอย่างนั้น เป็นชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ในช่วงที่จอมพลป. พยายามให้เขาพูดไทยให้หมด มันก็เกิดปฏิกิริยาที่จะไม่ออกจากศาสนา ปอเนาะก็เป็นสัญลักษณ์ของการต้องรักษา คนก็เลยยึดศาสนากันใหญ่ ยิ่งรัฐพยายามจะให้เลิก คนก็ยิ่งยึด เพราะฉะนั้นวิถีชีวิตของคนที่นี่
จะสอดคล้องกับศาสนามากกว่าที่อื่น
ครอบครัวของผู้สูญเสียที่ได้พบเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนที่ผมเข้าไปในพื้นที่พบว่ามีเด็กที่เป็นระเบิดเวลาเยอะมาก พ่อตาย 1,000 คน อย่างน้อยก็มีเด็กกำพร้า 2,000-3,000 คนแล้วที่พร้อมจะเป็นระเบิดเวลา ไม่ว่าพ่อเขาจะเป็นใคร เขาก็คับแค้น เพราะไม่มีใครมาจัดการ เขาก็คิดจะจัดการเอง และไม่ว่าผู้ที่ตายจะเป็นใคร เป็นเจ้าหน้าที่หรือเป็นโจร แต่เด็กกับผู้หญิงที่เหลืออยู่คือผู้บริสุทธิ์ เราต้องเยียวยาคนกลุ่มนี้ไม่ให้กลายเป็นระเบิดอีก ต้องกันไม่ให้เขากลายเป็นแนวร่วม
ทำยังไง
เราต้องเข้าไปคุยกับเด็ก คุยกับครอบครัว ว่าสังคมนี้ไม่ได้มีแต่คนโหดร้ายที่ฆ่าพ่อเขา ยังมีเพื่อนคนไทย มีคนอื่นๆ อีก เขาจะได้รู้ว่าคนที่ทำกับเขาไม่ใช่ทั้งหมดของสังคมไทย เหมือนอย่างที่เราเดินไปปากซอยถูกตำรวจไถแล้วเราไม่ระเบิดออกมาเพราะเรารู้ว่าทั้งสังคมไม่ได้มีตำรวจคนนี้คนเดียว การเข้าไปคุยกับเขาทำให้พบว่าผู้หญิงมุสลิมที่สามีตายไม่โกรธเลยที่มีคนมาฆ่าสามี เพราะเขาคิดว่ามันเป็นประสงค์ของพระเจ้า ไม่มีใครทำให้ใครตายได้ถ้าพระเจ้าไม่ได้กำหนด เขาคิดว่าสามีเขาได้มีความสุขแล้วที่ได้อยู่ใกล้พระเจ้า เป็นความคิดที่ช่วยเยียวยาได้มาก แต่รุ่นลูกนี่สิ พ่อตาย แม่ซึมเศร้า ถูกมองด้วยความระแวงจากสังคม มีคนมาโกหกเรื่องพ่ออีก
เขารู้มาตลอดว่าพ่อเขาไม่ได้ติดยา แต่มีคนมาบอกว่าพ่อเขาติดยา
เลือกครอบครัวที่เข้าไปหาอย่างไร
ผมมีข้อมูลพื้นฐานที่เป็นตัวบุคคลอยู่แล้วว่าใครเสียชีวิต ใครหาย ใครบาดเจ็บ เพราะผมทำงานให้กรรมการสิทธิมนุษยชน แล้วผมก็ทำงานร่วมกับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีสิบกว่าคน น้องๆ นักศึกษาก็ลงพื้นที่ไปสำรวจก่อนว่าครอบครัวไหนเป็นยังไงบ้าง แล้วเราก็ลงไปเยี่ยมที่นั่นไปตามบ้านเลย ผมไปเยี่ยมมาแล้วสามร้อยกว่าครอบครัว สิ่งที่ต้องทำก็คือการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ช่วยเหลือเรื่องเงินเพราะเอาเข้าจริงๆ ลูกตำรวจที่บอกว่าจะมีเงินให้ 7-8 เดือนก็ยังไม่ได้สักบาท ครูก็ยังต้องกู้เงินทำศพเลย ผมก็เริ่มทำจากทุนส่วนตัว มีเพื่อนมาช่วยบ้าง แล้วก็ตั้งเป็นกองทุนขึ้นในมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ ตั้งใจว่าจะให้เงินปีละสามหมื่นบาทสามปีเป็นพื้นฐานก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องให้เงินทุกครอบครัว เพราะบางครอบครัวก็ต้องการเรื่องสุขอนามัย ต้องการการรักษาพยาบาล ต้องการนมลูก ต้องการยา ต้องการงาน ต้องการทนาย ผมก็ติดต่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ที่อยู่ในอาชีพต่างๆ การที่คนนึงเข้าไปจับมือเป็นเพื่อนว่าทุกข์ยากอะไรช่วยได้ไหม มันสำคัญที่สุด
เรื่องที่สองที่ผมเข้าไปทำก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวเพื่อให้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อคนที่นั่น คนที่นั่นจะได้มีเพื่อน จะได้ไม่กลายเป็นระเบิดเวลา ผมก็ถ่ายทอดโดยการเขียนเรื่อง ชีวิตที่เหลืออยู่ ลงในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ แล้วอีกส่วนก็เขียนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลว่าควรจะเป็นอย่างไร หรือให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ทำถูกต้อง นอกนั้นก็มาทำงานด้านนโยบาย
ในส่วนของภาคประชาชนทั่วไป เราช่วยอะไรบ้าง
เริ่มต้นเราอย่าเพิ่งไปสรุป ต้องเริ่มต้นด้วยการเข้าหาข้อเท็จจริงก่อน เมื่อเราสัมผัสข้อเท็จจริงเราจะพบทั้งความจริงแท้ของเรื่องและหน้าที่ของเราต่อสิ่งนั้น แล้วเราจะพบความสุขเสมอ สิ่งที่ทำได้ก็คือการช่วยเยียวยาไม่ให้เกิดระเบิดเวลา แล้วก็เป็นเพื่อนกัน เมื่อสามีเขาตาย เขาก็อาจจะมีปัญหาเรื่องการเลี้ยงชีพ คนที่นั่นอยู่ด้วยเงินไม่มากเพราะเป็นเศรษฐกิจพอเพียง เดือนละ 2 พันบาทก็พอแล้ว ครอบครัวที่มีลูก 9 คนก็อยู่ได้แล้ว เพราะรายได้ปกติก็สัก 4 พันบาท แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเลยเพราะสามีตาย ใครจะส่งมาที่กองทุนก็ได้ แต่ถ้าช่วยตรงครอบครัวสู่ครอบครัวก็จะเป็นการสร้างเพื่อนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เป็นเพื่อนกันทีละครอบครัว ครอบครัวที่แข็งแรงได้ช่วยเหลือครอบครัวที่อ่อนแอกว่า มันก็ได้ตอบแทนกันทั้งคู่ ทางโน้นได้เงิน ทางนี้ลูกเต้าได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มีครอบครัวนึงบอกว่ามีประโยชน์มากต่อลูกเขา เพราะลูกของครอบครัวผู้สูญเสียกับลูกเขาอายุใกล้ๆ กัน ลูกเขาจะได้รู้จักการทำหน้าที่ต่อคนยากลำบากกว่าตั้งแต่เล็กๆ มันเล็กน้อยมากเลย แค่ส่งหนังสือ ดินสอ สมุดวาดเขียนให้ ครอบครัวคนเมืองมักจะขาดเรื่องคุณค่าทางจิตใจ มักด้อยโอกาสที่จะทำให้รู้ว่าตัวเองมีคุณค่าอะไรบ้าง ถ้าได้ทำสักครั้ง ลูกเขาจะรู้เลยว่าควรจะทำอะไรต่อ
ถ้าทุกอย่างยังดำเนินต่อไปอย่างนี้ กรณีที่แย่ที่สุด ปัญหาภาคใต้จะไปจบที่ตรงไหน
ถ้ายังปล่อยให้มีการอุ้มฆ่าอยู่ พวกขบวนการจากต่างประเทศที่รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลญาติพี่น้อง เขาก็จะเข้ามา ถ้ากลุ่มนี้เข้ามาอเมริกาก็ต้องเข้ามา ศัตรูเขานี่ แล้วมันก็จะกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สหประชาชาติก็ต้องเข้ามา แล้วก็นำไปสู่การลงประชามติ กลายเป็นว่ารัฐช่วยทำหมดเลย โจรมันแค่ยั่วเท่านั้นเอง
ถ้าได้เจอกับแกนนำโจรภาคใต้ คุณอยากจะบอกอะไรกับเขา
บาปกรรม เลิกซะเถอะที่ทำเนี่ยตกนรกแน่นอน ฆ่าคนบริสุทธิ์มันไม่ดีหรอก หลอกตัวเอง หาทางออกอื่นเถอะ แต่คนที่ควรจะบอกมากกว่าก็คือ คนที่ทำศาลเตี้ยอุ้มฆ่า อันนี้อันตรายกว่าเพราะมีอำนาจ สรุปว่าทั้งสองฝ่ายต้องเลิก ถ้าเราไม่ลงโทษทั้งสองฝ่าย ประชาชนจะลำบาก
ที่ผ่านมาเรามักได้ยินข่าวเรื่องภาคใต้ต่างๆ นานา ตรงกันบ้าง ต่างกันบ้าง เหมือนกับว่าความจริงมีหลายชุด ถ้ามีคนกำลังตั้งข้อสงสัยกับความจริงฉบับคุณโสภณ คุณจะบอกเขายังไง
ผมก็ไม่ทราบจะบอกยังไง ผมเชื่อว่าไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ เราต้องเข้าไปสู่ข้อเท็จจริงก่อน ไม่ใช่ว่านายกฯ บอกเชื่อผมเถอะแล้วก็เชื่อ พระพุทธเจ้าบอก อย่าเชื่อตถาคต ให้ทำด้วยการปฏิบัติโดยการเข้าถึงความจริงแล้วจะพบหน้าที่ ผมก็ใช้วิธีแบบพระพุทธเจ้า เข้าไปในพื้นที่ เข้าไปหาครอบครัวเลย ไม่ฟังราชการ ไม่ฟังองค์กร ไม่ฟังเอ็นจีโอ เราจะรู้เรื่องทั้งหมดเลยถ้าเราเข้าไปที่ครอบครัว คนที่นั่นเขาอยู่อย่างมีความสุขมาเป็นร้อยปีนะ อาจจะมีระเบิดสถานีรถไฟ แต่ก็ไม่เคยฆ่ากันแบบนี้ เพิ่งมามีสมัยรัฐบาลชุดนี้ แล้วจะให้ผมเชื่อรัฐบาลชุดนี้ได้ยังไง
ในหลวงบอกคนที่นั่นเป็นคนดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถบอกคนที่นั่นเป็นคนดี ป๋าเปรมบอกคนที่นั่นเป็นคนดี ผมก็บอกอย่างนั้น เพราะผมไปพบแบบนั้น ผมไม่ได้คิดว่ามีข้างไหนทั้งนั้น มีแต่คนดีกับคนเลว คนเลวมันก็มี
ทุกศาสนาทุกเชื้อชาติ อย่าไปแบ่งพวก ให้แบ่งคนดีกับคนเลว
สำหรับรัฐบาลผมก็บอกเท่าที่จะบอกได้ ผมเป็นแค่คนคนนึงที่เพียงทำหน้าที่มนุษย์ สิ่งที่ผมทำทั้งหมดคือการทำหน้าที่มนุษย์ ไม่ใช่เรื่องของตำแหน่งใดๆ ทั้งนั้น ผมไม่ยอมให้ตำแหน่งหรืออะไรก็ตามมาจำกัดหน้าที่นี้ของผมเด็ดขาด บางคนมีความรู้สึกว่าถ้าเราไปพูดว่ากล่าวคนที่มีอำนาจจะไม่ดี แค่ทำให้คนมีอำนาจไม่พอใจ
นี่มันแรงแล้วหรือ แล้วที่คนมีอำนาจไปทำให้เขาตาย เจ็บ พิการ เป็นพันเป็นหมื่น นี่มันยิ่งกว่าไม่ดีอีกนะ
หน้าที่ของมนุษย์ที่คุณหมายถึงคือ
ยกตัวอย่าง แม่วิ่งลงทะเลไปช่วยลูกตอนสึนามิมา เป็นความสุขของแม่ที่ได้ทำ ดีกว่าไม่ได้ทำ ถ้าแม่วิ่งหนีแล้วลูกตาย ที่เหลือทั้งชีวิตจะเป็นนรก เมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์ทำตรงหน้าที่เราจะไม่พบความกลัว เราจะพบแต่ความสุขเสมอ ความเป็นมนุษย์หมายถึงการได้ทำหน้าที่ที่ควรจะทำ มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่ธรรมชาติของสัตว์ตัวที่แข็งแรงจะกินตัวที่อ่อนแอ แต่ธรรมชาติของมนุษย์ที่สูงกว่าสัตว์ก็เพราะมนุษย์มีสำนึกได้ว่าตัวเองมีหน้าที่ต่อผู้ที่อ่อนแอกว่า เราถึงเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ไปหากินกับคนจน หากินกับเด็ก หากินกับการพนัน หากินกับคนป่วย ด้วยการท่องคาถาว่าต้องใช้กลไกตลาด ต้องแข่งขันอย่างเป็นธรรม คนแข็งแรงกับคนอ่อนแอแข่งกันมันจะเป็นธรรมได้อย่างไร
สนใจช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียผ่านมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์และมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว โทร 0-1641-0416, 0-1831-4896
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment