Monday, November 27, 2006

ระวัง...ห้ามกิน MENTOS และ ดื่มCOKE พร้อมกัน









ระวัง...ห้ามกิน MENTOS และ ดื่มCOKE พร้อมกัน
> >
> > มีเด็กเล็กในประเทศบราซิลตายหลังจากกิน MENTOS และ ดื่มCOKE พร้อมกัน
> >ให้ท่านทดลองดูว่าการผสม Coke กับ MENTOS จะเกิดอะไรขึ้น
> >ดูจากรูปประกอบครับ ??? อันตรายมากๆ หากเข้าไปอยู่ในท้องเด็ก ๆ
> >เค้าก็ไม่รู้เราผู้เป็นผู้ปกครองควรแนะนำ
> >แม้กระทั่งผู้ใหญ่หากกินพร้อมกัน โอกาสตายสูงครับ ช่วย Forword และ
> >ช่วยบอกต่อด้วยน่ะครับ
> >

จะให้ดี ก็เลิกกินทั้งสองอย่างเลยแหละ

Tuesday, November 21, 2006

เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการเส้นโลหิตในสมองบกพร่อง

เส้นโลหิต ในสมองบกพร่อง---เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy
เพื่อนคนหนึ่งหกล้มในงานบาบีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ
แต่เจ้า ตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น
อิงอิงดูยืนไม่ค่อยมั่นคง เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจาน ใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ
หลัง จากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน 6 โมงเย็น
ถ้าหาก เพื่อนๆรูจักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตกอาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็นอัมพฤกษ์ หรืออัมพาด
แพทย์ทาง ประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม. ก็จะมีโอกาส รอด
วิธีวินิจฉัย อาการ ถ้าคนข้างเคียงไม่ รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง
แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ ป่วยด้วย 3 ข้อ ก็สามารถวินิจฉัยอากาคได้
โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไป นี้
S: (smile)ให้ผู้ป่วยยิ้ม
T: (talk)ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง
R:(raise) ให้ผู้ป่วยชูแขนสองข้าง
อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง
ใช่แล้ว ส่ออาการ อันตราย ถ้าผู้ป่วยมีอาการ ผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบแจ้ง 119 และเล่า อาการให้ผู้รับสายฟัง

Thursday, November 16, 2006

kids' cute answer?!

KIDS IN GRADE SCHOOL THINK FAST
TEACHER : Why are you late?
WEBSTER : Because of the sign.
TEACHER : What sign
WEBSTER : The one that says, "School Ahead, Go Slow."

TEACHER : Cindy, why are you doing your math multiplication on the floor?
CINDY : You told me to do it without using tables!

TEACHER : Jo, how do you spell "crocodile?"
JOHN : K-R-O-K-O-D-A-I-L"
TEACHER : No, that's wrong
JOHN : Maybe it's wrong, but you asked me how I spell it!

TEACHER : What is the chemical formula for water?
SARAH : H I J K L M N O!!
TEACHER : What are you talking about?
SARAH : Yesterday you said it's H to O!

TEACHER : George, go to the map and find North America.
GEORGE : Here it is!
TEACHER : Correct. Now class, who discovered America ?
CLASS : George!

TEACHER: Willie, name one important thing we have today that we didn't have ten years ago.
WILLIE : Me!

TEACHER : Tommy, why do you always get so dirty?
TOMMY : Well, I'm a lot closer to the ground than you are....

TEACHER : Ellen, give me a sentence starting with "I."
ELLEN : I is...
TEACHER : No, Ellen..... Always say, "I am."
ELLEN : All right... "I am the ninth letter of the alphabet."

TEACHER : "Can anybody give an example of COINCIDENCE?"
JOHNNY : "Sir, my Mother and Father got married on the same day,same time."

TEACHER : "George Washington not only chopped down his father's cherry tree, but also admitted doing it. Now do you know why his father didn't punish him?"
JOHNNY : "Because George still had the ax in his hand."

TEACHER : Now, ! Sam, tell me frankly, do you say prayers before eating?
SAM : No sir, I don't have to, my Mom is a good cook.

TEACHER : Desmond, your composition on "My Dog" is exactly the same as brother's.
Did you copy his?
DESMOND : No, teacher, it's the same dog!

TEACHER : What do you call a person who keeps on talking when people are no longer interested?
PUPIL : A teacher

Wednesday, November 15, 2006

อุบัติเหตุ..ที่น่าจะป้องกันได้

คนใข้เตียงที่ 2
คนใข้ชื่อ น้องต้น เด็กชายอายุ 9 ขวบ ติดป้ายโรคใว้หน้าเตียงว่า Brain injury (บาดเจ็บใน สมอง)

ดูไปแล้ว เหมือนน้องต้นกำลังนอนหลับ ใบหน้าของเขาอ่อนเยาว์ ริมฝีปากแดงเรื่อตามธรรมชาติ แต่
น้องต้นหลับไม่ตื่นอีกแล้ว...

"โป้ง โป้ง" น้องต้นถือปืนวิ่งใล่ยิงกับเพื่อนๆ วัยเดียวกันอย่างสนุกสนาน เด็กๆ ต่างก็มีปืนยาวคนละกระบอก
ปืนนี้เป็นปืนอัดลมพลาสติก ที่ทำเหมือนของจริง กระสุนพลาสติกเม็ดเล็กๆ แต่มีความแรงและความเร็วสูง


"ห้ามยิงใส่กันนะลูก" แม่ของน้องต้นเตือน
"ครับๆ" เด็กๆต่างรับปาก ทำให้แม่ของน้องต้นเบาใจ เธอหันไปเข้าครัวทำกับข้าวกับปลามื้อเย็น
"โอ๊ยยย!" เสียงน้องต้นร้อง พาแม่ใจหายวาบ วิ่งมาดูทันที
"ตายแล้ว กรี้ด!" เห็นอาการของลูกต้น แม่กรีดร้องอย่างตกใจ
"ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมทำกันอย่างนี้" แม่โวยวาย
เพื่อนของน้องต้น นึกว่าปืนไม่มีกระสุนแล้ว เขาหันปากกระบอกปืนมาหยอกล้อน้องต้น และยิง...
กระสุนเม็ดพลาสติกแล่นตรงเข้าที่ลูกตาขวาของน้องต้นทันที เลือดไหลทะลักไม่ขาดสาย

แม่และพ่อของน้องต้นรีบพาเด็กชายวัยเก้าขวบมาโรงพยาบาลทันที ภายในครึ่งชั่วโมงหลังเกิดเหตุ

หมอตรวจร่างกาย ตรวจตาน้องต้น แล้วบอกว่า "คุณพ่อ คุณแม่ครับ ลูกตาของน้องต้นแตกเละ
คงไม่สามารถเย็บใด้ คงต้องเอาลูกตาออก และค่อยใส่ตาปลอมทีหลังนะครับ"
แม่ร้องให้จนเป็นลมไปครั้งแล้วครั้งเล่า อุทานซ้ำๆ อยู่ว่า
"ต้นลูกแม่ อายุแค่ 9 ปีเท่านั้น ตาต้องบอดไปข้างหนึ่ง"

หมอรีบพาต้นเข้าห้องผ่าตัด ดมยาสลบ ควักลูกตาที่เละออก ล้างเบ้าตา เย็บเส้นเลือด ห้ามเลือด และ
เย็บแผลให้เรียบร้อย
หมอฉงนใจที่ไม่เห็นลูกปืน เลยถามแม่น้องต้น
"คงจะกระเด็นตกไปตรงไหนแล้วมั้ง" แม่สันนิษฐาน มองลูกที่ต้องตาบอดเพราะปืนเด็กเล่นแล้ว ทำใจ
ไม่ใด้ เธอร้องให้ตลอดเวลา
หมดฤทธิ์ยาสลบแล้ว แต่น้องต้นไม่ฟื้นตามปกติ ทั้งๆที่ตอนดมยาสลบไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ
"คุณแม่ครับ กระสุนปืนนั้นใด้กระเด็นออกจริงหรือครับ" หมอย้ำถาม
"จริงๆแล้วฉันเองก็ไม่เห็น" แม่ตอบ
หมอรีบส่งน้องต้น ตรวจซีทีแสกน (ตรวจคอมพิวเตอร์สมอง) จากฟิลม์ซีทีแสกน พบว่า กระสุนปืนนั้นอยู่ในเนื้อสมอง!!!

มันคงแล่นผ่านลูกตา กระบอกตา ทำลายประสาทตา ทำลายเนื้อสมอง พุ่งเข้าไปตุงตรงใจกลางสมอง
ไม่น่าเชื่อว่าแค่กระสุนพลาสติกอันเล็กๆ ยังมีผลทะลุทะลวงใด้มากขนาดนั้น
กลับจากเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์สมอง อาการของน้องต้นแย่ลงอย่างรวดเร็ว รูม่านตาที่เคยมีปฏิกิริยาต่อ
แสงตามปกติ กลับขยายใหญ่ ไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง
เพราะสมองของน้องต้นมีอาการบวมอย่างรุนแรง เป็นปฏิกิริยาของสมองต่อการบาดเจ็บที่เกิดขื้น
ประสาทศัลยแพทย์ ใด้ผ่าตัดเอาลูกกระสุนออกใด้สำเร็จ แต่ไม่สามารถทำให้การทำงานของสมองกลับคืนปกติ


น้องต้นกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ต้องหายใจโดยอาศัยเครื่องช่วยหายใจ ไม่สามารถลุกขื้นมาพูดคุย กินข้าว เล่นกับเพื่อนๆ ของเขาใด้อีกแล้ว
หัวอกของพ่อแม่แทบฉีกขาด แต่แรกร้องให้ เพราะลูกตนเองต้องตาบอด
แต่กลับกลายเป็นว่า เหตุการณ์ร้ายแรงกว่าการตาบอดยิ่งนัก
น้องต้นนอนอยู่ในไอซียูเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในสภาพไม่รู้ตัว ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ
การใช้เครื่องช่วยหายใจนานๆ ทำให้ปอดของน้องต้นติดเชื้อในที่สุด และจากพ่อแม่ของเขาไปชั่วนิจนิรันดร์


เป็นความโศกสลด และเสียดายยิ่งนัก ที่เห็นเด็กอายุน้อยๆ หน้าตาน่ารัก เป็นขวัญใจของทุกคนในครอบครัว ต้องจากโลกนี้ไป



แม้จะปลอบตนเองตามคำพระที่ว่า


"ม นิยยมานสส ภวนติ ตาณา .เมื่อสัตว์จะตาย ไม่มีผู้ไดป้องกัน"
ความตายทางพุทธศาสนา จำแนกเป็นสี่อย่างคือ ตายเพราะหมดอายุ ตายเพราะกรรม ตายเพราะชรา
และตายเพราะอุบัติเหตุ





ฉันเชื่อว่า...น้องต้น ตายเพราะอุบัติเหตุ...ที่ป้องกันใด้
ถึงบัดนี้ ฉันก็ยังไม่อยากเชื่อว่า กระสุนปืนเม็ดพลาสติกเล็กๆ เม็ดเดียว สามารถคร่าชีวิตคนที่เป็นที่รัก
ของพ่อแม่และญาติมิตรใด้

ไม่เป็นไรใคร ๆ เค้า ก็ทำกัน

เมื่อชัยอายุ 6 ขวบ ขณะที่นั่งรถไปกับพ่อ
ถูกตำรวจจับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนด
พ่อแอบยื่นเงิน 500 บาทให้ตำรวจ และได้รับอนุ?าตปล่อยตัวไป
พ่อหันมาพูดกับชัยว่า “ไม่เป็นไรลูก เงินแค่นี้ซื้อเวลา
ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

เมื่อชัยอายุ 8 ขวบ ป้าพาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเงิน 75 บาท
เมื่อป้าไปชำระเงิน ยื่นธนบัตรร้อยบาทให้พนักงาน ได้รับเงินทอน 55 บาท
เพราะลูกค้ามากและเข้าใจว่าธนบัตร 50 บาทคือ 20 บาท
ป้ารับเงินทอนและใส่กระเป๋าทันที
แทนที่จะบอกพนักงานว่าทอนเงินผิด
เมื่อออกจากร้านป้าก็พูดกับชัยว่า “ไม่เป็นไรหลาน
ความผิดของเขาเองใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

เมื่อชัยอายุ 9 ขวบ ครูให้การบ้านปลูกต้นหอมแดงในกระบะ 2 สัปดาห์
แล้วนำไปส่งที่โรงเรียน แม่ลืมซื้อหัวหอมแดงมาให้ชัย เมื่อครบกำหนดวันส่ง
แม่ให้พ่อไปซื้อต้นหอมแดงที่ตลาดและฝังลงในกระบะให้ชัยนำไปส่งครู และพูดว่า
“ไม่เป็นไรลูก ครูไม่รู้หรอก มีส่งก็ดีแล้ว ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

เมื่อชัยอายุ 12 ขวบ ชัยทำแว่นตาใหม่ราคาแพงของลุงแตก
ลุงจึงนำใบเสร็จไปอ้างกับบริษัทเครดิตที่ลุงใช้บริการอยู่ว่าแว่นตาถูก
ขโมยได้รับเงินชดใช้มา15,000 บาท เต็มราคาที่ซื้อมา
ลุงพูดกับชัยอย่างภาคภูมิใจว่า
“ไม่เป็นไรหรอกหลาน สิทธ์ของเราใครใครเขาก็ทำกันทั้งนั้นแหละ”

เมื่อชัยอายุ 15 ปี ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียน
ครูฝึกได้สอนวิธีกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามให้บาดเจ็บโดยไม่ผิดถือว่าอยู่ในเกม
ครูฝึกบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอก ได้เปรียบไว้ก่อนเป็นดี
ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

เมื่อชัยอายุ 16 ปี ได้ไปทำงานระหว่างปิดเทอมที่แผนกซูปเปอร์มาร์เก็ต
ของห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อแห่งหนึ่ง หัวหน้าแผนกให้ชัยจัดกระเช้าผลไม้
โดยแนะนำให้จัดวางผลไม่สวยจวนจะเน่าอยู่ก้นตะกร้า คัดผลสวย ใบโตสีสด
จัดวางอยู่ส่วนบน หัวหน้าแผนกสอนว่า “ไม่เป็นไรหรอก ผู้ซื้อไม่ได้ใช้เอง
แต่นำไปฝากคนอื่น ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

เมื่อชัยอายุ 18ปี ได้สมัครสอบเพื่อเข้าขอรับทุนของมหาวิทยาลัย
ปรากฏผลทราบเป็นการภายในว่ามาเป็นอันดับ 2
เมื่อพ่อรู้เข้าจึงไปพูดกับกรรมการซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ในที่สุดชัยก็ได้รับทุน พ่อพูดกับชัยว่า “ไม่เป็นไรลูก
เป็นโอกาสของเรา
ใครใครถ้ามีโอกาส เขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

เมื่อชัยอายุ 19 ปี เพื่อนเอาข้อสอบปลายปีที่ขโมยมาขายกับชัย
เป็นเงิน 1,500บาท ชัยลังเลใจและตัดสินใจซื้อในที่สุด
เพราะเพื่อนพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกชัย
เกรดมีผลกับอนาคตนะ ใครใครเขาทำกันทั้งนั้นแหละ”

เมื่อชัยอายุ 24 ปี ชัยถูกจับข้อหายักยอกเงินบริษัท 700,000 บาท
และต้องติดคุก พ่อกับแม่ไปเยี่ยมและตัดพ้อต่อว่า
“ทำไมลูกทำอย่างนี้กับพ่อแม่
ที่บ้านเราไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนขี้โกงเลยนะ”

แนวคิดจาก"It’s ok, son, everybody does it" by Jack Griffin

Tuesday, November 14, 2006

ขาเทียมสําหรับผู้พิการ

ได้ทราบจากคุณวุฒิวงศ์ผู้เป็นเจ้าของ บริษัทวงศ์ธนาวุฒิ จำกัด ว่าได้ร่วมกับเพื่อนๆ ประดิษฐ์ขาเทียมสําหรับผู้พิการ ขาขาดตั้งแต่เหนือเข่า โดยเป็นเพียงรายเดียวที่สามารถ ประดิษฐ์ขาเทียมให้ผู้ที่สวมสามารถ งอขา นั่งพับเพียบ และเดินได้เช่นคนปกติ โดยทําให้ผู้พิการทุกคนที่ต้องการ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ในการนี้ คุณวุฒิวงศ์ไม่ต้องการรับเงินบริจาคแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการความช่วยเหลือ โดยหากท่านพบผู้พิการ ในถิ่นห่างไกลที่ต้องการขาเทียม โปรดช่วยจดชื่อ ที่อยู่ โทรศัพท์ ให้แก่คุณวุฒิวงศ์โดยตรงที่โทรศัพท์ 01-847-9374
ขออนุโมทนาในความเมตตาของทุกท่าน

Saturday, November 11, 2006

USD 20 Worth of Time 20 เหรียญดอลลาร์กับคุณค่าของเวลา

A man came home from work late, tired and irritated, to find his 5-year old son waiting for him at the door.
ผู้เป็นพ่อกลับมาบ้านในตอนดึก, เหนื่อยและหงุดหงิด พบลูกชายอายุ 5 ขวบ นั่งรออยู่ที่ประตู
“Daddy, may I ask you a question?”
“พ่อครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?
“Yes sure, what is it?” replied the man
ได้สิลูก มีอะไรหรือ? ผู้เป็นพ่อตอบ
“Daddy, how much do you make an hour?”
พ่อครับ พ่อทำงานได้ชั่วโมงละเท่าไร?
“that’s none of your business, why do you ask such a thing?” the man said angrily.
มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเราซะหน่อย ถามทำไม? ผู้ชายตอบด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกโกรธ
“I just want to know, please tell me, how much do you make an hour?” pleaded the little boy.
ผมแค่อยากจะรู้ กรุณาบอกด้วยครับว่าพ่อทำงานได้ชั่วโมงละเท่าไร?
เด็กผู้ชายอ้อนวอน
“if you must know, I make $20 an hour”
ถ้าลูกต้องการที่จะรู้ให้ได้ พ่อจะบอกให้ พ่อทำงานได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญดอลลาร์
“Oh,” the little boy replied, with his head down, looking up, he said,
เด็กผู้ชายพยักหน้าและบอกพ่อว่า
“dad, may I please borrow $10?”
พ่อครับ งั้นผมของยืมเงินพ่อ 10 เหรียญเหรียญดอลลาร์ ได้ไหม?
The father was furious, ผู้เป็นพ่อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“if the only reason you asked that is so you can borrow some money to buy a sill toy or some other nonsense, then you march yourself straight to your room and go to bed, think about why you are being so selfish.”
“ถ้านี่เป็นเหตุผลเดียวที่ลูกขอพ่อ เพื่อที่เอาไปซื้อของเล่นที่ไร้สาระนั่นละก็ กลับไปที่ห้องลูก และคิดว่าทำไมถึงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวแบบนี้”
“I work long hard hours everyday and don’t have time for such this childish behavior.”
“พ่อทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน และไม่มีเวลาที่จะมาเล่นแบบเด็กๆแบบนี้”

The little boy quietly went to his room and shut the door.
เด็กผู้ชายเดินกลับเข้าห้องของตนและปิดประตูอย่างเงียบๆ
The man sat down and started to get even angrier about the little boy’s questions.
ผู้เป็นพ่อนั่งลงและเริ่มโกรธเมื่อนึกถึงคำถามที่ลูกชายเพิ่งถามไป
How dare he ask such questions only to get some money? ลูกกล้าดียังไงมาถามพ่อ เพื่อที่จะขอเงินแบบนี้?
After about an hour or so, the had calmed down, and started to think hey may have been a little hard on his son.
เวลาผ่านไป ผู้เป็นพ่อเริ่มสงบลงและเริ่มที่จะคิดได้ว่าสิ่งที่เค้าทำไว้กับลูกอาจจะเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินไป
Maybe there was something he really needed to buy with that $10 and he really didn’t ask for money very often.
บางทีอาจจะมีของจำเป็นที่ลูกต้องการที่จะซื้อด้วยเงิน10 เหรียญดอลลาร์นั่นก็ได้ และลูกก็ไม่ได้ขอบ่อยๆ

The man went to the door of the little boy’s room and opened the door. ผู้เป็นพ่อเดินไปที่ห้องของลูกชายและเปิดประตู
“are you asleep, son?” he asked.
“ลูกหลับอยู่รึเปล่า? ผู้เป็นพ่อถาม
“no daddy, I’m awake” replied the boy.
“ผมยังไม่หลับครับพ่อ” เด็กชายตอบ
“I’ve been thinking, maybe I was too hard on you earlier,” said the man.
“พ่อมาคิดๆดูแล้ว สิ่งที่พ่อทำกับลูกอาจจะรุนแรงเกินไป” ผู้เป็นพ่อตอบ
“It’s been a long day and I took out my aggravation on you. Here’s the $10 you asked for.” “มันเป็นวันที่ยาวนานมากและพ่อก็เอาความโกรธมาลงกับลูก นี่ 10 เหรียญดอลลาร์ที่ลูกต้องการ”
The little boy sat straight up, smiling. “Oh, thank you daddy!” he yelled. เด็กผู้ชายนั่งตัวตรงและยิ้ม “ขอบคุณครับพ่อ” เด็กผู้ชายร้องตะโกนด้วยความดีใจ
Then, reaching under his pillow he pulled out some crumpled up bills. และเอื้อมมือไปใต้หมอนเพื่อดึงธนบัตรที่ยับยู่ยี่ออกมา
The man, seeing that the boy already had money, started to get angry again. ผู้เป็นพ่อเห็นว่าลูกชายมีเงินแล้ว จึงเริ่มฉุนเฉียวอีกครั้ง
The little boy slowly counted out his money, then looked up at his father. เด็กผู้ชายเริ่มนับเงินที่เค้ามีอย่างช้าๆ และมองพ่อของเขา
“Why do you want more money if you already have some?” the father grumble. “ทำไมลูกยังต้องการเงินอีก ในเมื่อลูกมีแล้ว” ผู้เป็นพ่อบ่นด้วยความไม่พอใจ
because I didn’t have enough, but now I do,” the little boy replied.
“เพราะว่าผมไม่มีเงินพอ แต่ตอนนี้ผมมี” เด็กผู้ชายกล่าว
“daddy, I have $20 now, can I buy an hour of your time? Please come home early tomorrow, I would like to have dinner with you.”
“พ่อครับ, ตอนนี้ผมมี 20 เหรียญดอลลาร์ ผมขอซื้อเวลาของพ่อได้ไหม? กรุณากลับบ้านเร็วๆ พรุ่งนี้ ผมต้องการที่จะทานข้าวเย็นกับพ่อครับ”

Share this story with someone you like…..but even better, share $20 worth of time with someone you love.
แบ่งปันเรื่องราวนี้ให้กับคนที่ท่านชอบ.....แต่จะดีที่สุดก็คือการแบ่งเวลาที่มีค่าถึง 20 เหรียญดอลลาร์ให้กับคนที่ท่านรัก

นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง *~

1. ไม่ทานอาหารเช้า

หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม



2. กินอาหารมากเกินไป

การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)



3. การสูบบุหรี่

เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์



4. ทานของหวานมากเกินไป

การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง



5. มลภาวะ

สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง



6. การอดนอน

การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้



7. นอนคลุมโปง

การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง



8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย

การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว



9. ขาดการใช้ความคิด

การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ



10. เป็นคนไม่ค่อยพูด

ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

Thursday, November 09, 2006

เก๋ มีเสน่ห์ แต่นอนไม่หลับ

"นี่คุณ ฉลองแว่นกันแดดหรือไง สวมไว้ทั้งวัน ระวังเถอะคืนนี้จะนอนไม่หลับ"
ไม่ว่าใครที่ถูทักถามอย่างนี้ต้องงง สงสัย แปลกใจแน่ๆว่าผู้ทักถามนั้น
เอาอะไรมาพูด แว่นกันแดดเข้ามาเกี่ยวข้องกับการนอนหลับไม่หลับได้อย่างไร

คำตอบคือ "เกี่ยว" แต่ก่อนที่จะให้มันเข้าไปยุ่งถึงที่นอนของเรา เรามาดูภายนอกกันก่อนว่าแว่นกันแดดมีประโยชน์สถานใดบ้าง ประโยชน์โดยตรง
ก็คือช่วยป้องกันรังสีอุลตราไวโอเล็ตที่จะมุ่งทำร้ายตารเรา แต่ประโยชน์โดยอ้อมก็คือ บางคนใช้แว่นกันแดดปกปิดข้อบกพร่องของดวงตา บางคนใช้เสริม
บุคลิก สร้างเสน่ห์แกใบหน้าให้ดูเก๋ไก๋ บางคนยังอาจใช้ป้องกันความรู้สึกที่อยากซ่อนเร้นแต่มันมักเล็ดลอดออกทางดวงตาเสมอ

ด้วยประโยชน์ที่ล้นกรอบของแว่นกันแดดนี่เอง ทำให้บางคนสวมมันไว้ทั้งวันจนผู้เชี่ยวชาญทางด้านแสงแดดออกมาประกาศการค้นพบว่า แสงแดด
เป็นตัวการสำคัญในการดูดซับฮอร์โมนเมลาโทนินให้ออกมาทำงาน และจำเพาะจะต้องดูดซับกันทางดวงตาด้วย ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้มีหน้าที่ควบคุมวงจรการหลับ
การตื่นของร่างกาย ดังนั้นเมื่อเราไปป้องกันดวงตาจากแสงแดดนานเกินไป ผู้ควบคุมวงจรการหลับไม่ได้ทำงานตามปกติ จึงเป็นเหตุให้นอนไม่หลับในตอน
กลางคืนได้

...........................จากหนังสือ 3 นาทีมีสาระ เล่มที่ 2 ของ บมจ. ธนาคารกสิกรไทย

รู้ไหม...?

ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิด ทำให้กระดูกบางลงได้
นำไปสู่ปัญหากระดูกพรุน
เมื่อแก่ตัวลง ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินหรือฉีดยาเหล่านี้
ก็อย่าลืมหมั่นกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง
เช่น ผักใบเขียวเข้ม ปลาเล็กปลาน้อย ฯลฯ
หรือทานแคลเซียมเสริมไว้ด้วย...
ที่มา : Canadian Medical Association Journal, October 2001




ผู้หญิงชอบดื่มพึงระวัง
คุณผู้หญิงที่ชอบดื่มพึงระวังเพราะร่างกายคุณ
จะซึมซับแอลกอออล์ได้เร็วกว่าผู้ชาย ( เมาเร็วกว่า)
แล้วคุณยังมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านม
ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ดื่มถึง 50%
แถมยังกระดูกเปราะกว่ากันมาก
เพราะเหล้าจะเข้าไปทำลายเนื้อกระดูก(bone mass) ของคุณ...
ที่มา : Rethinking Drinking" Reader's Digest, December 2001




นั่งรถตรงไหนปลอดภัยที่สุด
นั่งรถเก๋งที่เบาะหลังตรงกลางปลอดภัยที่สุด
รองลงมาคือ ที่นั่งด้านหลังทางซ้าย (หลังคนนั่งข้างคนขับ)
เพราะตามสถิติอุบัติเหตุจะเกิดทางด้านหน้า และ ด้านคนขับมากกว่า
และหากมีคนนั่งรถไปกับคุณด้วยน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
จะลด อันตรายจากอุบัติเหตุการชนด้านหน้ารถลงไปด้วย...
ที่มา : The Seattle Times, November 11, 2001
(ข้อมูลจาก http://www.thaihealth.or.th/th/index_th.php )




ทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะ
ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen)
ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน
ไปสร้างเป็น ฮอร์โมนไทร๊อกซิน (Thyroscine) ได้
ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก
แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม
จึงควรรับประทานกะหล่ำปลีสุก
จะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ




ถั่วงอกดิบมีโทษครับ
ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก
มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะ
ไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร
ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย
ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ
สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม
จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ




วิธีป้องกันตะคริว
ตะคริวเกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่
การดื่มน้ำและ รับประทานผลไม้สดมากๆ
จึงช่วยลดการเป็นตะคริวได้...
ที่มา : Health& Fitness Column, Detroit News,
August 22, 2001




อดนอนบ่อยๆ ระวังเป็นเบาหวาน
ร่างกายที่ไม่ได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม
จะใช้อินซูลินได้น้อยลง
คนอดนอนบ่อยๆ จึงมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานสูงกว่าปกติ...
ที่มา : The Seattle Times, July 22, 2001




ตรวจฉี่ด้วยตัวเอง
ร่างกายแต่ละคนต้องการน้ำไม่เท่ากัน
แพทย์แนะนำว่าควรดื่มมาก พอที่จะถ่ายปัสสาวะได้ทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
หากปัสสาวะคุณเป็นสีเหลือง เข้มกว่าปกติ แสดงว่าคุณกำลังขาดน้ำ...
ที่มา : Health & Fitness Column, Detroit News, August 22, 2001




เนยแท้ vs เนยเทียม
เนยแท้ๆ ที่ทำมาจากนม อร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายกว่าเนยเทียม
หรือมาร์การีนซึ่งไม่มีประโยชน์เลยแถมเป็นพิษต่อร่างกายอีกต่างหาก
แต่ไม่ควรจะบริโภคเนยให้มากนักเพราะมากไป
ก็ทำให้เป็นโรคหัวใจ และความดันได้ง่าย...




วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ
เรื่องความชราที่มาเยือนนั้นเป็นไปตามวัยก็จริง
แต่หนุ่มสาวสมัยนี้กลับ "แก่ก่อนวัย"
ถึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า "ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ"
เคล็ดลับเหล่านี้ได้จาก น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
สูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
๑.ต้องไม่อยากแก่...
ต้องตั้งใจคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้
และต้องปฏิบัติควบคู่ไปทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
๒.มีใจเป็นหนุ่มสาว..
คือ รักอิสระ มองโลกในแง่ดีและที่สำคัญมีความหวังเสมอ
หรือการคบเพื่อนที่อายุน้อยกว่าก็เป็นวิธีการที่ดี
๓.ลดความเครียด..
เลิกเอาคิ้วผูกโบได้แล้ว ลองยิ้มให้มากขึ้น
ถ้าไม่รู้จะยิ้มอย่างไรก็ลองยิ้มกับกระจกเงาที่บ้านดูสิ
๔.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ..
ออกกำลังการอย่างน้อย 15 นาทีจะดี
๕.กินอาหารต้านชรา..
พยายามเลือกอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย
เช่น พืชผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
๖.นอนหลับเพียงพอ..
เราควรจะนอนให้เพียงพอกับร่างกาย
ที่ดีที่สุดควรนอนก่อนสี่ทุ่มจะดีที่สุด
๗.ความรัก..
ความรักเท่านั้นที่จะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย
ทั้งความรักของคนหรือสัตว์ ก็จะช่วยให้เราหัวใจเบิกบาน




ขนมเด็กเคลือบยาพิษ Safe Stamp ระวัง !
อันตรายจากอาหารขบเคี้ยว ข้อมูลจากการสำรวจ
ของราชพฤกษ์โพล
คณะสาธารณะสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ซึ่งเก็บตัวอย่างจากขนมหลายประเภท
จากโรงเรียนอนุบาลและประถมศึกษา จำนวน 40 โรงเรียน
ในพื้นที่17 เขตของกรุงเทพมหานคร
พบว่าภัยร้ายที่แฝงอยู่ในขนมเด็ก
โดยเฉพาะสารตะกั่วซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
ขณะเดียวกันก็ยังพบสารอันตรายอื่นๆ
โดยเฉพาะเกลือโซเดียมในปริมาณมากน้อยต่างกันไป
ซึ่งหากบริโภค มากจนตกค้างสะสมในร่างกาย
อาจมีผลให้เส้นเลือดในสมองโป่งพองได้
10 อันดับขนมขบเคี้ยวประเภทข้าว แป้ง
ที่พบปริมาณโซเดียมสูงสุดดังนี้
1. ข้าวเกรียบปลาหมึก ตราอาริงาโตป้ง
2. ขนมทอดกรอบตราปูไทย ซองส้มเข้มป้ง
3. ข้าวเกรียบทอด ตราเอสบี รสพริกหยวก
4. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราฮานามิ รสเม็กซิกันชิลลี่
5. แป้งมันฝรั่งทอดกรอบ ตราโรลเลอร์ โคสเตอร์
รสหัวหอมทรงเครื่อง
6. แป้งข้าวโพดอบกรอบ ตราโจโต้ รสปลาหมึก
7. ข้าวเกรียบกุ้ง ตราคาลบี้ รสต้มยำรสแซบ
8. ข้าวเกรียบปลา ตรามโนห์รา
9. ข้าวเกรียบกุ้ง ตรามโนห์รา
10. ข้าวเกรียบรสมะเขือเทศ




โทษของน้ำต้มเดือดหลายๆ ครั้ง
น้ำประปามีแร่ธาตุหลายชนิด
เมื่อต้มเดือดแล้วเดือดอีกหลายๆ ครั้ง
น้ำจำนวนมากจะระเหยกลายเป็นไอ ส่วนที่เหลือ
จึงมีปริมาณแร่ธาตุ ชนิดต่างๆ เข้มข้นขึ้นมาก
และเกินมาตรฐานการบริโภค น้ำที่ต้มเดือดนานๆ
ไอออนของซิลเวอร์ไนเตรทที่อยู่ในน้ำ
จะเปลี่ยนเป็นซิลเวอร์ไนไตรท์
ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย
และแร่ธาตุบางอย่างที่เป็นโทษต่อร่างกาย
จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ
และอาจมากจนเกินขีดจำกัด ความสามารถของร่างกาย
ในการกำจัดขับถ่ายออกมา
จึงไม่ควรดื่มน้ำที่ ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง ครับ




อาหารต้านมะเร็ง 5 ประการเพื่อการป้องกัน
1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก
เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ
เพื่อป้องกัน โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย
กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
2. รับประทานอาหารที่มีกากมาก
เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ
เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
3. รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และไวตามินเอสูง
เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง
เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด
4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูงเช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ
เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร
5. ควบคุมน้ำหนักตัว..โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง
เช่น มดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่




ผลกระทบของการอดนอน
งานวิจัยเชิงทดลอง โดยอาสาสมัครหนุ่มสาว
ทดลองนอนหลับวันละ 4 ชม. เป็นเวลา 6 คืน เมื่อเจาะตัวอย่างเลือด
พบว่า มีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นและควบคุมยาก
ซึ่งเกือบจะเป็นเหมือนโรคเบาหวาน
นักวิจัยยังพบว่าการอดนอนเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
โดยเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเร่งการเติบโต
ซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพ
และควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย
การอดนอนทำให้ฮอร์โมนนี้หลั่งน้อยลง
ร่ายกายรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
นอกจากนี้ยังส่งผลต่อฮอร์โมนเลปติน
ซึ่งเป็นสารที่สื่อต่อระบบประสาท
ว่า ควรจะอิ่มได้เร็วหรือช้าเท่าใด
ตามความต้องการอาหารของร่างกาย
เมื่อระดับเลปตินลดลงจากการนอนน้อย
ผู้คนจะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
แม้จะได้กินอาหารจนได้พลังงานเพียงพอแล้วก็ตาม
การนอนไม่พอยังส่งผลต่อเม็ดเลือดขาว
และกลไกการตอบสนองภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกาย
ทำให้เจ็บป่วยง่ายเมื่อเจอเชื้อโรค
การนอนไม่พออาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง
มีความเกี่ยวข้องกันในเรื่องวงจรการหลั่งฮอร์โมนแปรปรวน
เนื่องมาจากการอดนอนและ แสงรบกวนในเวลากลางคืน
ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
ฉะนั้น นอกจากเราควรจะนอนให้เพียงพอแล้ว
เรายังไม่ควรเปิดไฟนอนอีกด้วย




6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด
ก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย
เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน
และหัวใจวายแน่นอน
อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติ
ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้ เป็นอย่างดีเยี่ยม
6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ
1.มะเขือต่างๆ..
2.หอมหัวใหญ่..
3.กระเทียม
4.ถั่วเหลือง..
5. แอปเปิล..
6.โยเกิร์ต
วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ
ก็ควรรับประทานอัศวินตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน.




อาหารอันตรายเมื่อท้องว่าง
คุณทราบไหมว่าเมื่อท้องของคุณว่างแล้วคุณรับประทานอาหารเข้าไป
อาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคุณได้ เพราะฉะนั้น
ก่อนที่จะรับประทานอาหาร ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน
อาหารที่ไม่ควรรับประทาน ขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง
มีบางชนิดที่เราแทบไม่เชื่อเลยล่ะ
กล้วย.. เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วย
ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น
ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็นการยับยั้ง
การทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อย่างยิ่ง
กระเทียม.. เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหาร ได้รับการกระตุ้นเกิด
โรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง
ผัก.. การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง
จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปรกติ
นอกจากนั้น ยังไม่ควรอาบน้ำ และออกกำลังกายด้วยเช่นกัน
เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกาย ในขณะที่ท้องว่าง
จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย
นมและนมถั่วเหลือง.............. แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน
แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหาร
มีสารอาหารประเภทแป้งอยู่ด้วย
เหล้า .. หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร
ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
น้ำตาลหรืออาหารหวาน... ไม่ควรรับประทานอาหารหวาน
หรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง
จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด
และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
ชา...ที่แก่เกินไป ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อย
ในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงาน
ของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ
มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ
ลูกพลับ.. ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง
เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง
และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก
คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร




ไอศกรีม อาหารขยะ
ไอศกรีมบางยี่ห้อ บางผู้ผลิต ใช้ไขมันที่เหลือจากโรงฆ่าสัตว์ แทน
และได้ใส่ส่วนผสมสังเคราะห์ จากสารเคมีต่าง ๆ ดังนี้
1. ไดอิธิลกลูคอล ( diethyl glucol )..สารเคมีราคาถูก ใช้ตีไขมัน
ให้กระจาย แทนการใช้ ่ไข่ เป็นสารกันเยือกแข็ง ที่ใช้กันน้ำแข็ง
( anti freeze) และผสมในน้ำยากัดสี
2. อัลดีไฮด์ - ซี71 ( aldehyde-C71 ) .. ใช้สร้างกลิ่น เชอร์รี่
ให้ไอศกรีมเป็นของเหลวติดไฟง่าย และยังนำไปใช้ทำสีอะนิลีน พลาสติกและยาง
3. ไปเปอร์โอรัล ( piperoral )..ใช้แทนวานิลลา เป็นสารเคมีที่ใช้ฆ่าเหาและหมัด
4. อิธิลอะซีเตท (ethyl acetate ) .. ใช้สร้างกลิ่นรสสับปะรด
ใช้เป็นตัวทำความสะอาดหนังและผ้าทอ กลิ่นของสารเคมีตัวนี้
ทำให้เกิดโรคปอดเรื้อรัง ตับ และหัวใจผิดปกติ
5. บิวธีรัลดีไฮด์ ( butyraldehyde) ใช้สร้างกลิ่นรสเมล็ดในผล
ไม้เปลือกแข็ง เป็นสารประกอบสำคัญในกาวยาง
6. แอนนิล อะซีเตท( anyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นรสกล้วยหอม
เป็นสารทำลายใช้ล้างไขมัน
7. เบนซิล อะซีเตท(benzyle acetate) ใช้สร้างกลิ่นและรสสตรอเบอร์รี่

ROSE : Good Story

>วันแรกที่พวกเราเริ่มการเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น
>
>อาจารย์ของเราได้เข้ามาแนะนำตัว
>
>และบอกให้พวกเราทำความรู้จักกับคนอื่นๆ ที่เราไม่รู้จักมาก่อน
>
>ผมยืนขึ้นแล้วมองไปรอบๆ และมีมือๆ หนึ่ง เอื้อมมาจับบ่าของผม
>
>ผมหันไปพบกับหญิงชราร่างเล็ก ผิวหนังเหี่ยวย่น
>ที่ส่งรอยยิ้มอันเป็นประกายมาให้ผม
>
>รอยยิ้มนั้นทำให้เธอดูสดใสอย่างยิ่ง
>
>
>
>หญิงชราคนนั้นกล่าวขึ้นว่า
>
>“สวัสดี รูปหล่อ ฉันชื่อโรส อายุแปดสิบเจ็ดแล้ว มาให้ฉันกอดสักทีสิ”
>
>
>
>ผมหัวเราะกับท่าทางของเธอ และตอบอย่างร่าเริงว่า
>
>“แน่นอน ได้สิครับ ” แล้วเธอก็กอดผมอย่างแรง ผมถามเธอว่า
>
>“ทำไมคุณถึงมาเรียนมหาวิทยาลัย
>เอาตอนที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอย่างนี้ละ.. ”
>
>
>
>เธอตอบด้วยเสียงปนหัวเราะว่า “ฉันมาหาสามีรวยๆ ที่ฉันจะได้แต่งงานด้วย
>แล้วมีลูกสักสองสามคน... ”
>
>ผมขัดจังหวะเธอ โดยถามว่า “ไม่เอาครับ.. ถามจริงๆ ” ผมสงสัยจริงๆ ว่า
>อะไรทำให้เธอมาเรียนที่นี่ตอนที่อายุขนาดนี้ และเธอตอบว่า
>
>“ฉันฝันมานานแล้ว ว่าฉันจะได้ปริญญา และตอนนี้
>ฉันก็กำลังจะได้ปริญญาที่ฉันฝัน”
>
>หลังเลิกเรียนวิชานั้น เราเดินไปที่อาคารสโมสรนักศึกษาด้วยกัน
>และนั่งกินชอคโกแลตปั่นด้วยกัน เรากลายเป็นเพื่อนกันในทันที
>
>ตลอดสามเดือนหลังจากนั้น เราจะออกจากชั้นเรียนพร้อมกัน
>และจะไปนั่งคุยกันไม่หยุด ผมนั้นประหลาดใจเสมอเมื่อได้ฟัง “ยานเวลา"
>ลำนี้
>
>แบ่งปันความรู้ และประสบการณ์ของเธอให้กับผม
>
>
>
>ตลอดปีนั้น โรสได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยของเรา
>และเธอนั้นจะเป็นเพื่อนได้กับทุกคนในทุกที่ที่เธอไป
>เธอรักที่จะแต่งตัวดีๆ
>
>และดื่มด่ำอยู่กับความสนใจ ที่นักศึกษาคนอื่นๆ มีให้กับเธอ
>เธอได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
>
>เมื่อถึงตอนสิ้นสุดภาคการศึกษา
>เราได้เชิญโรสให้มาพูดที่งานเลี้ยงของทีมฟุตบอลของเรา
>
>ผมไม่เคยลืมเลยว่า เธอได้สอนอะไรให้กับเรา ... พิธีกรแนะนำตัวเธอ
>และเธอก็เดินขึ้นมาที่แท่น
>
>
>
>ตอนที่เธอกำลังเตรียมตัวที่จะพูดตามที่เธอตั้งใจนั้น
>
>เธอทำการ์ดที่บันทึกเรื่องที่เธอจะพูดตกพื้น เธอทั้งอาย ทั้งประหม่า
>
>แต่เธอโน้มตัวเข้าหาไมโครโฟนแล้วบอกว่า
>
>“ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันซุ่มซ่าม ฉันเลิกกินเบียร์มาตั้งนานแล้ว
>
>แต่วิสกี้พวกนี้มันแรงจริงๆ... ฉันคงจะเอาบทของฉัน
>
>มาเรียงใหม่ไม่ทันแล้วงั้นฉันก็คงได้แค่บอกเรื่องที่ฉันรู้ให้กับพวกคุณก็แล้วกัน”
>
>
>
>พวกเราทุกคนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ตอนที่เธอเริ่มต้นว่า
>
>“พวกเราทุกคนนั้น ไม่ได้หยุดเล่นเพราะเราแก่หรอก
>แต่เราแก่เพราะว่าเราหยุดเล่น
>
>ที่จริงแล้วมีเคล็ดลับสู่การที่จะยังหนุ่มสาวอยู่เสมอมีความสุข
>
>และประสบความสำเร็จอยู่ 4 ประการ
>
>1) พวกคุณจะต้องหัวเราะ และมีเรื่องสนุกๆ ขำขันทุกวัน
>
>2) พวกคุณจะต้องมีความฝัน เมื่อไรก็ตามที่คุณสูญเสีย ความฝันของคุณไป
>คุณจะตาย มีคนมากมายที่ยังเดินไป เดินมาอยู่ทั้งๆ
>
>ที่ตายไปแล้วและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว..
>
>3) การที่คุณ “แก่ขึ้น” กับ “เติบโตขึ้น” นั้นมันต่างกันมาก
>ถ้าคุณอายุสิบเก้า แล้วนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ ปีหนึ่ง
>
>และไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ตลอดทั้งปี คุณก็จะอายุยี่สิบ
>
>ถ้าฉันอายุแปดสิบเจ็ด แล้วนอนเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยตลอดทั้งปี ฉันก็จะอายุ
>
>แปดสิบแปด ทุกๆ คนนั้นจะแก่ขึ้น ทั้งนั้น
>
>ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสามารถอะไรเลย
>
>ประเด็นของการ เติบโตขึ้น นั้นอยู่ที่การแสวงหาโอกาสในการเปลี่ยนแปลง
>
>4) อย่าทิ้งอะไรไว้ให้เสียใจภายหลัง คนสูงอายุส่วนใหญ่นั้น
>ไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว แต่มักจะเสียใจกับสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ
>
>คนที่กลัวความตายนั้น มีแต่คนที่ยังมีสิ่งทีต้องเสียใจค้างอยู่ "
>
>
>
>เธอจบการพูดของ เธอด้วยการร้องเพลง “The Rose” อย่างกล้าหาญ
>
>และเธอได้แนะให้พวกเราทุกคนศึกษาเนื้อร้องของเพลงนั้นและเอาความหมายเหล่านั้นมา
>ใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรา
>
>
>
>เมื่อสิ้นปีการศึกษานั้น
>โรสได้รับปริญญาที่เธอได้เริ่มฝันไว้เมื่อนานมาแล้ว
>
>
>
>หนึ่งสัปดาห์หลังจบการศึกษา โรสจากไปอย่างสงบ
>
>เธอนอนหลับไปและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย
>
>
>
>นักศึกษากว่าสองพันคนไปร่วมพิธีศพของเธอ เพื่อแสดงความเคารพ
>ต่อหญิงชราผู้วิเศษ
>
>
>
>ผู้ได้สอนให้พวกเขาได้รู้ ด้วยการทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่า
>.......ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเป็นทุกสิ่งที่คุณสามารถเป็นได้
>
>
>
>เมื่อคุณอ่านเรื่องนี้จบลง กรุณาส่ง
>คำแนะนำอันดีเยี่ยมนี้ต่อให้กับเพื่อนและครอบครัวของคุณ
>พวกเขาคงจะชอบมัน
>
>
>
>เรื่องราวเหล่านี้ส่งต่อกันมาเพื่อระลึกถึงหญิงชราที่ชื่อ โรส
>
>
>
>จงจำไว้ว่า
>
>
>
>"การแก่ขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
>
>แต่การเติบโตขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
>
>เราอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ
>แต่เราจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งที่เราให้ไป"
>

Wednesday, November 08, 2006

10 ยอดอันดับ อาหารขายดีที่อันตราย

คนอเมริกันถูกบอมบ์ด้วยโฆษณาจากทางทีวีอย่างหนักหน่วงทุกวัน จนเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่ออาหารที่ทำลายสุขภาพมาเป็นในแง่ดี ร้านค้าของชำในแต่ละท้องถิ่น จะมีสินค้ามากกว่า 35,000 ชนิดที่เก็บสต็อคเอาไว้ ซึ่งไม่เหมาะสมที่ท่านจะบริโภคมันถ้าท่านขีดวงจำกัดหลีกเลี่ยงที่จะไม่บริโภคสินค้าใหม่ๆจำพวกเนื้อ นม และเบเกอรี่ รวมถึงสินค้าบริโภคที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบสำเร็จรูปที่ตั้งชั้นวางขายขวางเอาไว้เป็นพิเศษอีก ท่านก็จะมีสุขภาพดีขึ้นมากอีกอักโขเลยทีเดียว แต่การที่ประเทศเราเป็นต้นตำรับประเภทอาหารฟ๊าสฟู๊ด เราจึงควรมาพิจารณาถึงสิ่งประกอบที่มีอยู่ในอาหาร 10 อันดับยอดนิยมที่อันตรายต่อสุขภาพกันดูบ้าง

1. แฮมเบอร์เกอร์
• จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำ จากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรม
• เวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุงทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูงทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัด
• เนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว การใช้สารเคมีสีแดงย้อมทำให้เนื้อดูสดแฮมเบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะย้อมด้วยสารเคมีสีแดง ยกเว้นแต่จะทำด้วยกรรมวิธีอื่นๆ
• แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน
• เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)
• แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย
• อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนอเมริกันถึงได้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ
• เนื้อบดเป็นเสมือนกับอาหารของคนลี้ภัยอาหารเบอร์เกอร์ทำให้เกิดโรค E-coli ที่ต้องทำการรักษา มากกว่าโรคที่เกิดจากอาหารชนิดอื่น
• แฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารยิ่งใหญ่รายการเดียวที่ทำให้เกิดความเสียหายและก่อความทุกข์ให้กับอาหารของอเมริกัน...บริการอาหารได้นับพันล้านชุด...ค่าหมอและค่าโรงพยาบาลรักษานับพันล้านเหรียญ...
• ฮอร์โมนที่ใช้ฉีดวัวควาย ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้ หากท่านบริโภคเนื้อเหล่านั้น
• ชีสเบอร์เกอร์ ประกอบด้วยไขมันทั้งหมดเกินกว่า 100% ของอาหารไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน
• เบอร์เกอร์คิง ซ้อนหลายชั้นชุดพิเศษ จะให้พลังงาน 1.150 แคลอรี่ และไขมันรวม 76 กรัม เป็นไขมันอิ่มตัว 33 กรัม และเกลือโซเดียมอีก 1,530 ม.ก.
• เครื่องปรุงรสของเบอร์เกอร์ พริก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ล้วนใช้สารก่อมะเร็งจากเกลือเคมีกำมะถันเพื่อควบคุมความสดของผัก
• เบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะมีเกลือโซเดียมอยู่ 1,090 ม.ก. (เท่ากับ 45% ของปริมาณที่กำหนดให้ใช้ในแต่ละวัน) ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

2. ฮอทด็อก
• จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำ จากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรม
• เวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุง ทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัด
• ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน
• เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%
• ฮอทด็อกทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย
• ฮอทด็อกจะใส่สารไนไตรท์ ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสารที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ
• สารเติมช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม อาจเป็นจำพวกธัญญาหาร อาจเป็นนมผงรบกพร่องมันเนย ถั่วเหลืองหรือสารอย่างอื่นก็ได้ ทำให้เพิ่มจำนวนคาร์โบไฮเดรตและกระบวนการในการผลิตด้วย
• ถุงหลอดที่ใช้บรรจุฮอทด็อกทำจากคอลลาเจนสังเคราะห์ ที่เป็นสารก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้สูง
• มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40%
• เมื่อนำไปปิ้งย่าง มันจะให้สารพิษร้ายแรงที่เรียกว่า อะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อมะเร็งและทำลายประสาท

3. เฟร้นช์ฟราย มันฝรั่งทอด
• เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”
• การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท
• น้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์
• มันฝรั่งมีดรรชนี กลีซิมิค(Glycemic) อยู่สูงมาก นั่นหมายถึง มันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก การรับประทานมันฝรั่งปิ้งหนึ่งหัว (หรือเฟร้นช์ฟรายในปริมาณเทียบเท่ากัน) จะมีประมาณน้ำตาลเท่ากับรับประทานเค้กช็อคโกเล็ตชิ้นโตๆทีเดียว

4. ออริโอ คุกกี้ คุ๊กกี้ที่ขายดีอันดับหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา (ขนาด 6 ชิ้น = ขนาดในการบริโภคต่อครั้ง)
• ที่เด่นชัดมากก็คือ สัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว
• ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก
• พลังงาน 370 แคลอรี่ที่แทบจะไม่มีสารประกอบของอาหารที่ให้พลังงานอยู่เลย แคลอรี่เทียบได้เท่ากับการรับประทานเนื้ออกของไก่ 2 ชิ้น
• คุกกี้ 6 ชิ้น จะมีไขมันอยู่ 12 กรัม ไขมันอิ่มตัว 2.5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 40 ---หมายถึง คุ๊กกี้แค่ 6 ชิ้น มี จำนวนคาร์โบเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวันเสียอีก
• ออริโอคุกกี้จะเพิ่มความกระหายน้ำตาลให้ท่านได้มากยิ่งขึ้นภายใน 3 ชั่วโมงเท่านั้น
• กลิ่นรสธรรมชาติที่ระบุไว้นั้น เป็นสารเคมีจากทางโรงงานที่ทำให้ออริโอมีรสชาติยังกับคุกกี้ช็อกโกเล็ตจากกระบวนการผลิตชั้นสูง ที่ทำให้ออริโอคุกกี้ได้กลิ่นรสที่ไม่ได้เป็นมาจากธรรมชาติเหล่านั้นที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากสารเคมีที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
• บริษัท นาบิสโก ได้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยจำนวนไขมันที่แปรเปลี่ยน (Transfats) ว่า มีอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ เพียงแต่บอกว่า มีอยู่ในปริมาณที่ยอมรับได้สำหรับอาหารในประเภทนี้
• น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น

5. พิซซ่า
• พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด
1. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้นที่ไม่ควรจะเรียกว่าเนยแท้ได้เลย
2. แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไปใหม่
3. ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน
4. แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม
5. มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ ในฝ้ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆเอาไว้ได้มากที่สุด กระทรวงเกษตรและกระทรวงสาธารณะสุขต่างก็ไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่า มันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็นน้ำมันไฮโดรจีเนตและมีอันตรายต่อสุขภาพของท่านเป็นอย่างยิ่ง
• ผิวหน้าแป้งพิซซ่าที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจจะมีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) เกิดขึ้น ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาทได้
• การเพิ่มหน้าพิซซ่า เพ็พเปอโรนิหรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจากไนไตรต์ สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน

6. น้ำอัดลม
• สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน
• กรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
• น้ำโซดาจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูกของท่าน ช่วยทำเกิดโรคกระดูกพรุน
• ในน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง จะมีน้ำตาลที่ไม่ให้พลังงานอยู่ประมาณ 12 ช้อนชา
• ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว (Diet soda) ที่ใช้น้ำตาลเทียมสังเคราะห์ (Artificial sweetener) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายของท่านกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะว่า น้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก
• สีที่ใช้เติมในน้ำอัดลม เป็นสารเคมีก่อมะเร็ง
• เราเรียกน้ำอัดลมนี้ว่า น้ำตาลเหลว เพราะมันมีน้ำตาลประกอบอยู่สูง การดื่มน้ำอัดลม ก็เสมือนกับการกินแท่งช็อกโกเล็ตน้ำตาลเหลว
• ส่วนประกอบสำคัญในน้ำอัดลมก็คือ น้ำเชื่อมฟรัคโต๊สที่ได้มาจากข้าวโพด

7. ชิ้นไก่ทอดเนื้อนุ่มไร้กระดูก
• ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆ
• การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมัน
• มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง
• มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นในห้องปฏิบัติการทดลอง และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้
• มีสารฟอสเฟตประกอบอยู่ด้วย ทำให้ร่างกายเกิดเป็นกรด เป็นการยากที่จะทำให้มันเผาไหม้ไขมันได้อย่างเหมาะสมถูกต้อง จึงถูกสะสมและยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้
• นัคเก็ตชิคเก้นบางอัน (ของแม็คโดนัล) จะมีสารอะลูมิเนียมด้วย ซึ่งเป็นสารพิษที่มีอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย
• น้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์

8. ไอศกรีม
• มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน
• มีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน
• มีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น
• เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Transfat) ไปจากธรรมชาติและ

1. ช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรัล
2. ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน
3. ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น(เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง)
• ฮอร์โมนที่ฉีดให้กับวัวเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำนม จะลดการเมตะโบลิสซึมของร่างกายให้ลดน้อยลง ทำให้เกิดเนื้องอก ซีสต์และมะเร็งที่ทรวงอกและรังไข่

9. โดนัท
• โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่
• ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน
• มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
• โดนัทนั้นทอดในน้ำมันที่มีการออกซิไดซ์ และในแต่ละครั้งน้ำมันนั้นใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์
ดังกิ้นโดนัทเปลี่ยนน้ำมันใช้ทอดทุกครั้งเมื่อทอดโดนัทครบ 3,600 ชิ้น
น้ำมันในอุณหภูมิที่สูงจะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตะโบลิสซึมช้าลงเป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดีของท่าน
• มีน้ำตาลอยู่สูง ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

10. โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยวยามว่างที่มียอดขายมาอันดับ 1 ของอเมริกันชน
• คนอเมริกันในปัจจุบันบริโภคโปเตโต้ชิพมากกว่าประชากรอื่นใดในโลก มีการบริโภคมันสำปะหลังเป็นอันดับสองรองจากข้าว มันกลายเป็นสินค้าโลกไปแล้ว
• มันสำปะหลัง 4 ปอนด์ ใช้ทำโปเตโต้ชิพได้เพียง 1 ปอนด์
• ขนาดเล็กของโปเตโต้ชิพที่บรรจุ 2 ออนซ์ มันจะมีพลังงานที่อัดแน่นสูงเกินกว่า 300 แคลอรี่
• น้ำมันที่ใช้ในการทอดโพเตโต้ชิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์
• การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท
การรับประทานโปเตโต้ชิพหนี่งถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปได้
การรับประทานโปเตโต้ชิพหนี่งชิ้น อาจได้รับสารอะคริลิไมด์เท่ากับอัตราที่มีอยู่ในน้ำ ดื่มหนึ่งแก้ว
• มีไขมันอิ่มตัวแอบแฝงอยู่มาก
• มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดแคลนน้ำได้
• “HEALTH CHIPS สูตรใหม่ที่แนะนำสู่ตลาดอย่างยี่ห้อ BAKED LAYS หรือ OLESTRA อาจมีอันตรายมากกว่าโปเตโต้ชิพแบบธรรมดาเสียอีก”
• BAKED LAYS มีพลังงานที่อัดแน่นของแคลอรี่เกือบใกล้เคียงกับ LAYS โพเตโต้ชิพ แบบธรรมดา มีส่วนผสมระหว่างมันสำปะหลังกับอาหารจำพวกแป้งอื่นๆแล้วนำมาอัดแน่นเป็นแผ่นโพเตโต้ชิพมีสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็งอยู่มาก
OLEAN / OLESTRA โปเตโต้ชิพ
อาจก่อให้เกิดมีน้ำมันออกทางบริเวณทวารหนักหรืออาจสร้างปัญหาให้กระเพาะอาหารหรือลำไส้ได้ (ตามรายงานที่พิมพ์เอาไว้บนถุง)
ไปปิดกั้นการดูดซึมของไขมัน ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากสารอาหาร ที่เรารับประทานเข้าไปได้น้อยลง
ทำให้ปิดกั้นการดูดซึมสารคาโรทินอยด์และสารเคมีอื่นๆที่ได้มาจากพืชที่ช่วยในการป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคจุดด่างของผิวหนังทำงานได้ด้อยลง

Friday, November 03, 2006

จริงหรือไม่??

เคล็ดลับ....รู้ไว้ใช่ว่า

ชุดคำถามที่ 1: หมวด เคล็ดลับแม่บ้าน

1. ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยใช้ไข่ขาวมาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้งไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดงหรือพองเลย
ข้อสำคัญ

ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก

2. ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมดแล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ

3. ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่ายจริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น


4. ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่ายจริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้นมาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน

5. มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ
เฉลย : ไม่จริง
แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป

6. พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้

7. เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้
เฉลย : จริง
ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกและเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น

8. เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ
เฉลย : จริง
การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกลียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10-15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น


9. นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา

10. ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆเพื่อช่วยดูดกลิ่นได้
_________________________________________

ชุดคำถามที่ 2 : หมวดกินเพื่อสุขภาพ

1. กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ
เฉลย : ไม่จริง
แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไปได้

2. เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้

3. มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่าโรคนอนหลับ ได้อีกด้วย

4. ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริงหรือ
เฉลย : ไม่จริง
แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร

5. การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ
เฉลย : ไม่จริง
แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัดเป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้องและท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง

6. การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น


7. กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ
เฉลย: จริง
การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย

8. การกินช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล

9. การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ

เฉลย: จริง
เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความ เป็นด่างได้ทัน แต่ บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย

10. การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือ
เฉลย: จริง
เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลงสมองจึงค่อยๆเสื่อม

_________________________________________
ชุดคำถามที่ 3: หมวดรู้ไว้ใช่ว่า

1. การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยดจะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไป จับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิกริยาโดยขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป

2. ดูดนมยางของเด็กทารกตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ
เฉลย: จริง
การคาบหรืออมนายางของเด็กทารกไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือนสั่นไหว ขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรนและไม่นอนอ้าปากอีกด้วย

3. การสูดกลิ่นตัวผู้ชายทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ
เฉลย: จริง
เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคนรักนั้นมีสารฟีโรโมน ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลดอาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้

4. แอปเปิ้ลผลิตกระแสไฟฟ้าได้ จริงหรือ
เฉลย: จริง
ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่นทองแดง กรดในแอปเปิ้ล จะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็นเหมือนแบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรปฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้เช่นกัน


5. ปัสสาวะมนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ
เฉลย: จริง
โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึงเป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์

6. วัวกระทิงเกลียดสีแดง จริงหรือ
เฉลย: ไม่จริง
เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น เป็นเพราะความรำคาญ และเพราะถูกยั่วยุมากกว่า

7. เพชรแท้จะไม่ติดสีหมึก จริงหรือ
เฉลย: จริง
การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้ายน้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้ แต่ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ ก็แสดงว่าเป็นเพชรเทียม

8. การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่างและหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลงทำให้บาดแผลต่างๆ หายช้า

9. แสงแดดอ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมน เมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึมเซาได้

10. การฟังเพลงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะการฟังเพลงทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และ บรรเทาอาการปวดข้อลงได้
______________________________________

ชุดคำถามที่ 4: หมวดความสวยความงาม

1. กินหวานมากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว ทำให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้านและเหี่ยวย่นในที่สุด

2. การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น

3. เอาน้ำแข็งถูหน้าก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ
เฉลย : ไม่จริง
แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะแห้งไปเองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะหาย

4. การสวมเสื้อผ้าหนาๆเพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ
เฉลย : ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ
ภาวะที่ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่าเดิม

5. คนผิวแห้งมีโอกาสเกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือสารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้น คนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิวมัน

6. การฝึกกลั้นหายใจสามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึง หายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้

7. การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ
เฉลย : ไม่จริง
แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวันละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มากถึง 50 แคลอรี

8. กาวตราช้างใช้รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะเมื่อปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออกไป แต่ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง

9. การเต้นรำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะ การเต้นรำเพียงวันละ 20 นาทีช่วยเผาผลาญ แคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดี

10. การใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริงหรือ
เฉลย : จริง
เพราะ ช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์ขึ้นจนทำให้ขาใหญ่ ถ้าหากจำเป็นต้องใส่กระโปรงสั้นจริงๆ ควรใส่ถุงน่องเพื่อเพิ่มความอบอุ่น

รักษาใจให้ปลอดพิษ พระไพศาล วิสาโล

รักษาใจให้ปลอดพิษ

พระไพศาล วิสาโล

RECAP:

- จากประกายไฟกลายเป็นกองเพลิง
- ทุกข์คลายได้ ถ้ารู้จักปล่อยวาง
- รู้เมื่อใด ละเมื่อนั้น
- เปลี่ยนความสนใจไปยังสิ่งอื่น
- เยียวยาใจด้วยการให้อภัย
- มองแง่ดี
- อยู่วิเวกเป็นครั้งคราว
- อยู่ในโลกอย่างรู้เท่าทัน

- เปิดปากเปิดใจ


หญิงสาวคนหนึ่งมีอาการปวดท้องและปวดหัวเรื้อรัง

ทั้งยังมีความดันโลหิตสูงด้วย ไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีอาการดีขึ้น

น่าแปลกก็คือหมอหาสาเหตุของโรคไม่พบ ร่างกายของเธอเป็นปกติทุกอย่าง

สุดท้ายหมอก็ถามเธอว่า "ชีวิตของคุณเป็นอย่างไรบ้าง

เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ"

แล้วหญิงผู้นั้นก็เล่าชีวิตของเธอให้ฟัง

หมอสะดุดใจเมื่อเธอเล่าว่ามีเรื่องบาดหมางกับพี่สาวสองคน

เพราะทั้งสองทิ้งเธอให้ต่อสู้กับปัญหาตามลำพังเมื่อหลายปีก่อน

หมอสงสัยว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นต้นเหตุให้เธอเจ็บป่วยเรื้อรัง

คำแนะนำของหมอก็คือ เธอควรยกโทษให้พี่สาวทั้งสอง

หญิงสาวคงนึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำแนะนำเช่นนี้จากหมอ

แต่หลายปีต่อมาหมอก็ได้รับจดหมายจากคนไข้คนนี้ว่า

เธอคืนดีกับพี่สาวแล้ว และอาการเจ็บป่วยเรื้อรังก็หายเป็นปลิดทิ้ง

ความขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ

ไม่ใช่เป็นแค่อารมณ์ที่มาแล้วก็ผ่านไปดังสายลม

บ่อยครั้งมันถูกเก็บสะสมและหมักหมมจนไม่เพียงทำให้ร้าวรานใจเท่านั้น

หากยังบั่นทอนร่างกายจนเจ็บป่วยเรื้อรังดังหญิงสาวผู้นี้

อารมณ์ที่หมักหมมเรื้อรังนั้นมีพิษต่อจิตใจและร่างกายอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง

เราจำเป็นต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ไม่ให้หมักหมมเรื้อรัง

สำหรับอารมณ์ขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ

คงไม่มีวิธีการใดดีกว่าการให้อภัย ดังที่หญิงสาวผู้นี้ได้ค้นพบด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตามอารมณ์ที่มีพิษบั่นทอนจิตใจและร่างกายนั้น

มิได้มีแค่ความขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ

เท่านั้น หากยังมีอีกมากมาย เช่น ความท้อแท้

ผิดหวัง เศร้าโศก พยาบาท และที่เป็นกันแทบทุกคนก็คือ

ความเครียด และวิตกกังวล


จากประกายไฟกลายเป็นกองเพลิง


อารมณ์เหล่านี้ก็เช่นเดียวกับไฟ คือไม่ได้เกิดขึ้นเอง

แต่เกิดจากการสัมผัสหรือเสียดสีอย่างน้อยสองอย่างคือ

ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น

ฯลฯ แน่นอนต้องเป็นรูป เสียง หรือกลิ่นที่ไม่น่ายินดี

ทำให้เกิดความทุกข์หรือความไม่พอใจขึ้นมา

ความไม่พอใจนี้เปรียบดังประกายไฟซึ่งวาบขึ้นมาเมื่อมีการเสียดสีกัน

ธรรมดาประกายไฟเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับวูบไปในทันที

แต่ถ้ามีเชื้อไฟอยู่ใกล้ ๆ มันก็ลุกเป็นเปลวไฟ

แล้วอาจขยายเป็นกองไฟ หรือลามจนกลายเป็นมหาอัคคีไปในที่สุด

คนเรานั้นไม่ว่าจะร่ำรวย มีอำนาจ และเทคโนโลยีอยู่ในมือมากมายเพียงใดก็ตาม

ย่อมไม่อาจหลีกหนีสิ่งที่ไม่น่ายินดีได้

เช่น อากาศร้อน รถติด เพื่อนผิดนัด คำตำหนิ

หรือยิ่งกว่านั้นก็คือ ความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน

ความพลัดพรากสูญเสีย รวมทั้งความแก่ ความเจ็บ

และความตาย ดังนั้นความทุกข์หรือความไม่พอใจจึงเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต

และถ้าปล่อยให้มันดับไปเองเฉกเช่นประกายไฟก็ไม่มีปัญหาอะไร

ปัญหาอยู่ที่เรากลับทำให้ความไม่พอใจนั้นยืดเยื้อเรื้อรังจนลุกลามขยายใหญ่โต

กลายเป็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน จนบางทีอั้นไว้ไม่อยู่

ต้องระบายใส่คนอื่น หรือถ้าอั้นเอาไว้ได้

มันก็วกกลับมาทำร้ายร่างกายและจิตใจของตนเอง

จนป่วยด้วยโรคสารพัด เราไปทำอะไรหรือ ถึงไปโหมกระพืออารมณ์ให้พลุ่งพล่านขึ้นมา?

คำตอบก็คือ เราไปเติมเชื้อให้มันโดยไม่รู้ตัว

ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์อันไม่น่าพอใจเกิดขึ้น

เรามักจะเก็บเอามาคิดซ้ำย้ำทวน หรือครุ่นคิดอยู่ไม่วาย

ทั้ง ๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดอยู่นั่นเอง

การครุ่นคิดถึงมันอยู่บ่อย ๆ เท่ากับเป็นการเติมเชื้อให้มันเติบใหญ่และลุกลามไปเรื่อย

ๆ จนอาจถึงจุดที่ควบคุมไม่อยู่ เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็เพราะเหตุนี้

เคยมีนักเรียนบางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพียงเพราะถูกเพื่อนล้อว่ามีสิว

สิวเพียงไม่กี่เม็ดบนใบหน้าผลักให้นักเรียนวัยใสทำร้ายตัวเองได้อย่างไร

หากไม่ใช่เพราะการเก็บเอาคำหยอกล้อของเพื่อน

ๆ มาครุ่นคิดทั้งวันทั้งคืน จนความอับอายและน้อยเนื้อต่ำใจกลายเป็นความหมดอาลัยในชีวิต


ทุกข์คลายได้ ถ้ารู้จักปล่อยวาง


เมื่อความทุกข์หรือความไม่พอใจเกิดขึ้น

วิธีป้องกันมิให้มันลุกลามหรือหมักหมมจนกลายเป็นอารมณ์เรื้อรังที่เป็นพิษต่อชีวิตของเรา

ก็คือการไม่เก็บเอามาคิดย้ำซ้ำทวนหรือหวนกลับไปนึกถึงบ่อย

ๆ จนถอนไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งถลำลึกในอารมณ์

และทำให้อารมณ์มีพลังดึงดูดจนหลุดออกมาได้ยากขึ้นเรื่อย

ๆ เหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่พอใจนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวในอดีตที่ไม่อาจแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้

การครุ่นคิดถึงมันเพียงเพราะใจอยากคิดนั้น

ย่อมไม่มีประโยชน์อะไร กลับจะเป็นโทษด้วยซ้ำ

เว้นเสียแต่ว่าต้องการทบทวนเพื่อสรุปหาบทเรียนหรือทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้

(แม้กระนั้นก็ต้องระวังไม่ให้ตกลงหลุมอารมณ์โดยไม่รู้ตัว)

พูดง่าย ๆ คือต้องรู้จักปล่อยวาง เชื่อหรือไม่ว่าตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราทุกข์อย่างยิ่งนั้น

อยู่ที่ใจซึ่งปล่อยวางไม่เป็นต่างหาก

หาได้อยู่ที่คนอื่นหรือเหตุการณ์ภายนอกไม่

แม้จะมีอะไรมากระทบอย่างแรง แต่ถ้าใจรู้จักปล่อยวาง

มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ในทางตรงข้ามแม้เหตุร้ายจะผ่านไปนานแล้ว

แต่ถ้าใจยังยึดไว้อย่างเหนียวแน่น ก็เหมือนกับตกอยู่ท่ามกลางกองไฟ

หญิงผู้หนึ่งได้พบความจริงว่า ชายซึ่งครองคู่อยู่ด้วยกันมากว่า

๑๐ปีนั้น ไม่ซื่อสัตย์ต่อเธอ เธอโมโหและเคียดแค้นมาก

แม้จะแยกทางจากเขาหลายเดือนแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ก็ร้อนรุ่มขึ้นมาทันที

เธอจึงหันเข้าหาสมาธิภาวนา แต่ไม่วายกลับไปขุดเรื่องเก่ามาเผาลนจิตใจไม่หยุดหย่อน

หาความสุขไม่ได้เลยแม้รอบตัวจะสงบเย็นก็ตาม

แต่แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับเธอ

ตอนนั้นเธอกำลังเดินจงกรม เอามือทั้งสองข้างประสานกันที่ท้องน้อย

หลังจากเดินนานนับชั่วโมง เธอรู้สึกเมื่อย

จึงปล่อยมือลง ทันทีที่ปล่อยมือ กายก็รู้สึกสบาย

เธอได้คิดขึ้นมาโดยพลันว่า "แค่ปล่อย

เราก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป"

และแล้วเธอก็รู้สึกผ่อนคลายและสบายใจอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

เพราะชั่วขณะนั้นเองเธอได้ระลึกว่า ที่ยังทุกข์ทรมานไม่เลิกราเพราะใจยังติดยึดกับเรื่องร้ายในอดีต

วินาทีนั้นเธอได้ปล่อยมันออกไปจากจิตใจอย่างสิ้นเชิง

แล้วน้ำตาก็รินไหลออกมาด้วยความปีติ


รู้เมื่อใด ละเมื่อนั้น


ไม่ว่าอารมณ์จะหมักหมมเรื้อรังเพียงใด

ก็ไม่เกินวิสัยที่จะปล่อยไปจากใจ ขอเพียงมีสติระลึกรู้ทันว่ากำลังหลงยึดมันอยู่

อย่าลืมว่ามันค้างคาในใจเราได้ เพราะใจเรานั่นแหละที่ไปยึดมันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

ทันทีที่ใจปล่อย มันก็หลุด แต่เผลอเมื่อไร

ใจก็อาจไปยึดมันเอาไว้อีก ถ้าจะไม่ให้เผลอ

ก็ต้องมีสติระลึกรู้อยู่เสมอ สติจึงมีความสำคัญอย่างมากในการปลดเปลื้องอารมณ์เหล่านี้

ที่จริงหากมีสติหรือความรู้ตัวตั้งแต่แรกที่ประกายแห่งความไม่พอใจเกิดขึ้น

มันก็ดับไปตั้งแต่ตอนนั้น เพราะใจจะไม่เผลอไปเก็บเอามาคิดหรือเติมเชื้อให้มันลุกลามกลายเป็นกองเพลิงกลางใจหรือคุคั่งอยู่ภายใน

แต่คนทั่วไป สติค่อนข้างงุ่มง่าม รู้ตัวได้ช้า

อารมณ์เลยลุกลามไปได้เร็ว ดังนั้นจึงควรฝึกสติให้มีความว่องไวรวดเร็ว

รู้ทันความไม่พอใจที่เกิดขึ้น หรืออย่างน้อยก็รู้ทันเมื่อมันปะทุเป็นอารมณ์น้อย

ๆ ขึ้นมา

เราสามารถฝึกสติได้โดยเริ่มต้นจากการเข้าคอร์สสมาธิภาวนาซึ่งมีอยู่มากมายในปัจจุบัน

แต่เท่านั้นยังไม่พอ ต้องบ่มเพาะสติในชีวิตประจำวัน

ด้วยการหมั่นดูจิตมองตนอยู่เสมอ รวมทั้งใส่ใจกับงานทุกอย่างที่ทำ

ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ กายทำอะไรก็ตาม ใจก็รับรู้สิ่งที่ทำด้วย

ด้วยวิธีนี้สติจะว่องไวและเข้มแข็ง จนรู้ทันอารมณ์ต่าง

ๆ ที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ว่าบวกหรือลบ ฟูหรือแฟบ

ยินดีหรือยินร้าย นิสัยใจลอยก็จะลดลงไปด้วย

สตินั้นสามารถใช้รับมือกับอารมณ์ต่าง

ๆ ได้ทุกชนิด โดยเพียงแต่รู้เฉย ๆ ว่ามีอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้น

ใจก็ปล่อยมันหลุดไปเอง โดยไม่จำเป็นต้องไปขับไสไล่ส่งมันเลย

บางคนคิดว่าจะต้องเข้าไปเล่นงานมัน เช่น

กดมันเอาไว้ หรือไล่มันไป แต่ยิ่งทำ ก็ยิ่งเป็นการเติมเชื้อให้มันมีพลังมากขึ้น

หรือกลายเป็นการติดกับดักมัน เหมือนกับไก่ป่าที่คิดไล่ไก่ต่อที่นายพรานเอามาล่อไว้

แต่สุดท้ายก็ติดกับดักของนายพราน


เปลี่ยนความสนใจไปยังสิ่งอื่น


การย้ายความสนใจไปยังสิ่งอื่น ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ใจไม่ไปหมกมุ่นกับความทุกข์หรือตกหลุมอารมณ์อกุศลทั้งหลาย

เช่น เวลาโกรธใครขึ้นมา ลองดึงจิตมาจดจ่อกับลมหายใจ

ขณะเดียวกันก็หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว

ๆ และนับทุกครั้งที่หายใจออก เริ่มจาก

๑ ไปจนถึง ๑๐ ถ้าลืมก็นับ ๑ ใหม่ แม้ความโกรธจะไม่หายทันที

แต่ก็จะทุเลา หรือร้อนรุ่มน้อยลง เพราะมันสะดุดขาดตอนแม้จะเป็นช่วงสั้น

ๆ ก็ตาม

การนึกถึงความทุกข์ของผู้อื่น ก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ของเราด้วยเช่นกัน

โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคนที่ลำบากกว่าเรา

หมอกุมารเวชผู้หนึ่งเป็นทุกข์มากเพราะเสียสามีกะทันหัน

เสร็จงานศพแล้วก็ยังไม่หายซึมเศร้า ไปทำงานก็ไม่พูดไม่คุยกับใคร

นั่งซึมอยู่ในห้องคนเดียว เป็นเช่นนี้นานร่วมสองอาทิตย์

เพื่อน ๆ ช่วยเท่าไรก็ไม่ได้ผล สุดท้ายหัวหน้าแผนกก็เอาทารกที่กำลังป่วยคนหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะเธอ

แล้วเดินจากไป ไม่นานเด็กก็ร้องไห้ แต่เธอยังนั่งนิ่ง

จนเด็กร้องไห้ดังขึ้น เธอจึงลุกไปดูเด็ก

และช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อมพร้อมกับป้อนนมให้เด็ก

แล้วก็นั่งนิ่งอีก แต่เด็กไม่ยอมให้เธออยู่นิ่ง

ๆ ได้นาน ในที่สุดเธอก็ต้องมาตรวจดูอาการเจ็บป่วยของเด็ก

วันรุ่งขึ้น เมื่อเธอมาถึงโรงพยาบาล อย่างแรกที่เธอทำคือถามอาการของเด็กคนนั้น

แล้วเดินเข้าไปดูเด็กถึงเตียง ทีนี้ก็พบว่ายังมีเด็กอีกหลายคนที่รอการเยียวยาจากเธอ

วันนั้นทั้งวันเธอจึงดูแลรักษาเด็กคนแล้วคนเล่า

เช่นเดียวกับวันถัดไป ผลก็คือเธอหายซึมเศร้า

และกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อใจเราไปจดจ่อกับสิ่งอื่นแทน อารมณ์ที่เคยเกาะกุมจิตใจก็เหมือนกับกองไฟที่ไม่มีใครมาเติมเชื้อให้

มันก็จะค่อย ๆ หรี่ลง จนอาจมอดดับไปเลย

แต่ถ้าเราหันไปหมกมุ่นกับอารมณ์เหล่านั้น

มันก็จะคุโชนขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นถ้ารู้จักหันความสนใจไปยังสิ่งอื่น

(ที่ไม่ใช่อบายมุขหรือสิ่งเสพติด)

ใจเราจะโปร่งเบามากขึ้นเรื่อย ๆ


มองแง่ดี


ขยะปฏิกูลนั้น ถ้าใช้ไม่เป็น ปล่อยให้หมักหมม

ก็ส่งกลิ่นเหม็นและเป็นที่มาของโรค แต่ถ้ารู้จักใช้

ก็เป็นประโยชน์ เช่น กลายเป็นปุ๋ย ความทุกข์หรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็เช่นกัน

ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บ ความพลัดพรากสูญเสีย

หรือความยากลำบาก ถ้าเราไม่รู้จักมอง ก็ก่อให้เกิดอารมณ์หมักหมมที่ล้วนเป็นอกุศล

แต่ถ้ามองเป็นจนเห็นประโยชน์ หรือรู้จักมองในแง่ดี

อารมณ์อกุศลก็จะคลายไป เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาแทนที่

หรืออย่างน้อยก็ปล่อยวางได้มากขึ้น

ชายหนุ่มคนหนึ่ง ทำโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดหายไป

รู้สึกเสียดายมาก จึงไปหาหลวงพ่อซึ่งเป็นเกจิอาจารย์

หวังว่าท่านจะช่วยชี้แนะให้ได้คืนมา แต่หลวงพ่อแทนที่จะถามว่าโทรศัพท์รุ่นอะไร

กลับถามว่า "มีทองไหม ?"

ชายหนุ่มตอบ "มีครับ"

"อีกไม่นานทองก็จะหาย" แล้วท่านก็ถามต่อว่า

"มีรถไหม ?"

ชายหนุ่มตอบว่ามี

"อีกไม่นานรถก็จะหาย...แล้วมีแฟนไหม?"

ชายหนุ่มตอบว่ามี

"อีกไม่นานแฟนก็จะหายเหมือนกัน"

มาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็กราบลาหลวงพ่อ ไม่พูดถึงโทรศัพท์อีกเลย

เพราะเขามาได้คิดว่าโทรศัพท์หายนั้นเป็นเรื่องเล็ก

ถึงอย่างไรเขาก็ยังโชคดีที่ไม่สูญเสียมากไปกว่านี้

ความเสียดายโทรศัพท์มือถือมลายหายเป็นปลิดทิ้ง

เหตุการณ์ที่ไม่น่ายินดีทั้งหลาย ถ้ามองให้เป็น

ก็ยังยิ้มได้ มีผู้ป่วยหลายคนอุทานว่า

"โชคดีที่เป็นมะเร็ง" เพราะมะเร็งทำให้เขาและเธอได้พบหลายอย่างที่มีคุณค่าต่อชีวิต

เช่น ได้รู้จักธรรมะ ได้อยู่ใกล้คนรัก

บางคนเป็นมะเร็งสมอง แต่ก็ยังบอกว่าโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูก

เพราะเคยเห็นญาติทุกข์ทรมานกับโรคนี้มาก

ขยะและสิ่งปฏิกูลนั้น สามารถแปรเป็นปุ๋ยและบำรุงต้นไม้ให้งอกงาม

จนออกดอกออกผลฉันใดก็ฉันนั้น ปัญหาทั้งหลายก็มีแง่ดีหรือมีประโยชน์

ถ้ามองให้เป็น อารมณ์อกุศลก็ยากจะหมักหมมหรือยืดเยื้อเรื้อรังได้


เยียวยาใจด้วยการให้อภัย


ถ้าหากอารมณ์ที่หมักหมมนั้นเป็นความโกรธ

เกลียด พยาบาท วิธีหนึ่งที่ช่วยเปลื้องอารมณ์เหล่านี้ไปจากใจอย่างได้ผลมากคือ

การให้อภัย หรือดียิ่งกว่านั้นคือการแผ่เมตตาให้

ให้อภัยคือไม่ถือโทษโกรธเคืองในเรื่องที่ผ่านมา

ส่วนแผ่เมตตาหมายถึงการตั้งจิตปรารถนาดีให้มีความสุขยิ่ง

ๆ ขึ้นไป

คิม ฟุค เป็นเด็กเวียดนามที่รอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทหารสหรัฐนำมาทิ้งในหมู่บ้านของเธอ

แต่ไฟได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึงสองในสาม

เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง ๑๔

เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง ๑๗ ครั้งกว่าจะหายเป็นปกติ

เรื่องของเธอได้กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก

สามสิบปีปีผ่านไปเธอได้รับเชิญไปสหรัฐอเมริกา

เหตุการณ์ครั้งนั้นได้กลายเป็นข่าวไปทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง

เพราะเธอได้เผชิญหน้ากับอดีตทหารอเมริกันที่ทิ้งระเบิดสังหารญาติพี่น้องของเธอ

แต่แทนที่เธอจะกล่าวประณามเขาด้วยความเคียดแค้น

เธอกลับโอบกอดเขา ชายผู้นั้นซึ่งปัจจุบันเป็นศาสนาจารย์

กล่าวคำขอโทษเธอ ขณะที่เธอตอบสั้น ๆ ว่า

"ไม่เป็นไร

ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย"

คิม ฟุคสารภาพว่าตั้งแต่เล็กจนโต เธอเคียดแค้นชิงชังทหารอเมริกันอย่างมาก

โดยเฉพาะคนที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านเธอ

จนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร

แต่แล้วเธอก็พบว่า สิ่งที่ทำร้ายเธอจริง

ๆ ก็คือความเคียดแค้นพยาบาทที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง

หาใช่ใครที่ไหนไม่ "ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้"

ดังนั้นเธอจึงพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ศัตรู

แล้วเธอก็พบว่า "หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อย

ๆ เดี๋ยวนี้ ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด"

ถ้าความเคียดแค้นพยาบาทคือพิษที่กัดแผลในใจจนเรื้อรัง

การให้อภัยและการมีเมตตาจิตก็คือยาที่สมานแผลให้สนิทดังเดิม

การให้อภัยคนที่ทำร้ายเรานั้นเป็นเรื่องยาก

แต่การที่จะมีชีวิตอย่างผาสุกตราบใดที่ยังมีความโกรธเกลียดสั่งสมในจิตใจ

กลับเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า ในใจของทุกคน

ย่อมมีบาดแผลจากความโกรธเกลียด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี

"ยาสามัญประจำใจ" ขนานนี้ไว้เยียวยาอยู่เสมอ


อยู่วิเวกเป็นครั้งคราว


อาหารถ้ากินมาก ๆ ก็มีสารพิษสะสมมาก ขณะเดียวกันก็ทำให้การขับสารพิษเป็นไปได้ยาก

เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับการย่อยเป็นหลัก

ดังนั้นเวลาจะขับสารพิษออกไปจากร่างกาย

จึงควรงดอาหารเป็นครั้งคราว ฉันใดก็ฉันนั้น

การเสพข่าวสาร แสงสี และการพบปะผู้คนอยู่ตลอดเวลา

ก็ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นลงไม่หยุดหย่อน

อารมณ์เหล่านี้แม้จะดับไปในเวลาไม่นาน

แต่ก็มักทิ้งตะกอนอารมณ์ไว้ในใจเรา ซึ่งหากสะสมมากพอ

ก็ทำให้เราเกิดอารมณ์เหล่านี้ได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น

เช่น คนที่หัวเสียหรือเครียดบ่อย ๆ นานไปก็จะหัวเสียและเครียดได้ง่ายขึ้นแม้กับเรื่องเล็ก

ๆ น้อย ๆ

ดังนั้นจึงควรมีบางช่วงที่เราปลีกตัวหลีกเร้นจากข่าวสาร

แสงสี และการพูดคุย ห่างไกลจากโทรทัศน์และโทรศัพท์มือถือ

อยู่คนเดียวอย่างเงียบ ๆ อย่างน้อยปีละ

๑ อาทิตย์ ถือเป็นโอกาสเจริญสติ บำเพ็ญสมาธิภาวนา

เพื่อลดตะกอนอารมณ์ วิธีนี้ยังเป็นการ

"เว้นวรรค" อารมณ์ไม่ให้ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จนลุกลาม

จิตใจจะได้แจ่มใสสดชื่นอีกครั้งหนึ่ง


อยู่ในโลกอย่างรู้เท่าทัน


อย่างไรก็ตามเราอยู่ในโลกที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน

เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับข้อมูล

ข่าวสาร แสงสี ตลอดจนอารมณ์ของผู้คนโดยไม่ทุกข์ด้วย

มิใช่เอาแต่หลีกเร้นอย่างเดียว วิธีการอยู่กับสิ่งเหล่านี้ก็คือการรักษาใจให้มีสติอยู่เสมอ

เสียงดังหรือคำตำหนิไม่ทำให้เราทุกข์

หากใจไม่ไปเกาะเกี่ยวยึดติดอยู่กับมัน

มีคราวหนึ่งญาติโยมขอให้หลวงปู่บุดดา

ถาวโรพักผ่อนเอนกายหลังฉันเพลที่บ้านเจ้าภาพ

ห้องแถวข้าง ๆ เป็นร้านค้า เจ้าของใส่เกี๊ยะเดินขึ้นลงบันได

ส่งเสียงดังมาถึงห้องของหลวงปู่ ลูกศิษย์ซึ่งนั่งอยู่ในห้องด้วย

บ่นขึ้นมาว่าเดินเสียงดังจัง หลวงปู่ได้ยินจึงพูดว่า

"เขาเดินของเขาอยู่ดี ๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง"

ใช่หรือไม่ว่าหูของเราชอบหาเรื่อง จึงไปยึดเอาเสียงต่าง

ๆ มาทิ่มแทงใจของตัว ส่วนตา หู จมูก ลิ้น

กาย และใจก็ไม่เบาเช่นกัน เราจึงมีความทุกข์อยู่ไม่ว่างเว้น

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะไม่มีสติกำกับนั่นเอง

การอยู่กับผู้คนมาก ๆ หากมีสติคู่ใจ มีอะไรมากระทบ

แม้จะออกมาจากอารมณ์ที่ร้อนแรง แต่ก็จะไม่ติดตรึงใจเราได้

เพราะเรารู้ทันอารมณ์ที่มากระทบ และปล่อยวางได้ทัน

เปรียบดังใบบัวที่ไม่ยอมให้หยดน้ำมาเกาะติดได้


เปิดปากเปิดใจ


แต่ปุถุชนนั้นยากที่จะมีสติตลอดเวลา ได้ยินได้เห็นอะไรไม่ถูกใจ

ย่อมปล่อยวางไม่ทัน เก็บเอามาทิ่มแทงตัวเอง

ซ้ำยังอดไม่ได้ที่จะคิดปรุงแต่งไปทางร้าย

เห็นเขากระซิบกระซาบกัน ก็คิดว่าเขากำลังนินทาตนเอง

ถ้าปักใจเชื่อเช่นนั้น ก็จะรู้สึกไปในทางร้ายกับเขาทันที

คำถามก็คือเรามั่นใจในข้อสรุปของตัวเองแล้วหรือ

จะดีกว่าไหมหากเปิดปากซักถามเขาว่ากำลังกระซิบกระซาบกันเรื่องอะไร

เรามักด่วนสรุปไปตามความคิดชั่วแล่น โดยไม่สาวหาความจริง

การเปิดปากซักถาม เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราด่วนสรุปอย่างผิด

ๆ จนเกิดอารมณ์อกุศลขึ้น ใช่หรือไม่ว่าเมื่อความจริงปรากฏ

บ่อยครั้งมันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เรานึก

ความกินแหนงแคลงใจและความร้าวฉานมักเกิดจากความเข้าใจผิด

และความเข้าใจผิดมีจุดเริ่มต้นจากการด่วนสรุปและไม่สืบสาวหาความจริง

ทั้ง ๆ ที่เพียงแค่เปิดปากซักถาม ความจริงก็ปรากฏ

ไม่ว่าในครอบครัว หรือที่ทำงาน การรู้จักเปิดปากซักถามเป็นวิธีป้องกันความเข้าใจผิด

และสกัดกั้นมิให้เกิดอารมณ์อกุศลได้เป็นอย่างดี

แต่เท่านั้นคงไม่พอ นอกจากการเปิดปากซักถามแล้ว

บางครั้งมีความจำเป็นที่ต้องมีการเปิดปากเล่าความในใจด้วย

สาเหตุที่ความไม่พอใจสะสมมากขึ้นเพราะเราไม่กล้าเล่าความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้

ว่ารู้สึกข้องขัดอย่างไรบ้าง การปิดปากเงียบ

ทำให้อารมณ์คุกรุ่นจนอาจระเบิดออกมา และก่อความเสียหายอย่างคาดไม่ถึง

ในการอยู่ร่วมกัน เราควรส่งเสริมซึ่งกันและกันให้พร้อมที่จะเปิดปากซักถามเมื่อมีความสงสัยไม่แน่ใจ

หรือเปิดปากเล่าความในใจเมื่อมีความขุ่นข้องหมองใจกันขึ้นมา

แต่จะทำเช่นนั้นได้ทุกฝ่ายต้องพร้อมเปิดใจรับฟังสิ่งที่อาจไม่ถูกใจ

หรือไม่ตรงกับความคิดของตน การเปิดใจรับฟังอย่างมีสติ

และความเห็นอกเห็นใจ จะช่วยให้ผู้คนพร้อมเปิดปากซักถามและเล่าความในใจได้อย่างเต็มที่

แล้วเราอาจพบว่าปัญหานั้นแก้ได้ไม่ยากเลย

ใช่หรือไม่ว่าปัญหาเล็ก ๆ ลุกลามจนเป็นเรื่องใหญ่ได้ก็เพราะการไม่เปิดปากเปิดใจให้แก่กันและกัน

การเปิดปากเปิดใจไม่จำเป็นต้องหมายถึงการใส่อารมณ์เข้าหากัน

หากทุกฝ่ายมีสติรักษาใจ หรือแม้นว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีสติ

แต่ถ้าคนหนึ่งมีสติ ตั้งอยู่ในความนิ่งสงบ

ก็สามารถช่วยลดทอนอารมณ์ของผู้อื่นได้

ขอให้คน ๆ นั้นเริ่มต้นที่ตัวเรา ที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญอีกต่อไป




RECAP:

- จากประกายไฟกลายเป็นกองเพลิง
- ทุกข์คลายได้ ถ้ารู้จักปล่อยวาง
- รู้เมื่อใด ละเมื่อนั้น
- เปลี่ยนความสนใจไปยังสิ่งอื่น
- เยียวยาใจด้วยการให้อภัย
- มองแง่ดี
- อยู่วิเวกเป็นครั้งคราว
- อยู่ในโลกอย่างรู้เท่าทัน

- เปิดปากเปิดใจ

บททดสอบกลั่นกรองสามชั้น

ในสมัยกรีกโบราณ, Socrates (โสเครติสนักปรัชญากรีก) ได้รับยกย่องให้เป็นมหาปราชญ์ และได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นอย่างสูง

วันหนึ่ง มีคนรู้จักบังเอิญพบกับนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ และพูดขึ้นว่า คุณรู้อะไรไม๊? ผมได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนของคุณมาเรื่องนึง

" ช้าก่อน..." โสเครติสตอบ ก่อนที่ท่านจะบอกข้า ข้าอยากที่จะให้ท่านผ่านการทดสอบสักเล็กน้อย ข้าจะเรียกมันว่าบททดสอบกลั่นกรองสามชั้น

"กลั่นกรองสามชั้น?"

“ถูกต้องแล้ว" โสเครติสกล่าว ก่อนที่ท่านจะเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนของข้า มันอาจจะเป็นการดี ที่จะใช้เวลาสักเล็กน้อย และการกลั่นกรองเรื่องที่ท่านจะพูด และนั่นคือสาเหตุว่าทำไมข้าจึงเรียกมันว่า บททดสอบตัวกลั่นกรองสามชั้น

ตัวกลั่นกรองแรก คือ "ความจริง" "ท่านแน่ใจจริงๆ หรือว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะบอกข้านั้นเป็นเรื่องจริง?"

"เปล่าหรอก.." ชายผู้นั้นตอบ"อันที่จริงข้าก็แค่ได้ยินเรื่องนี้มาเท่านั้นเองแล้วก็..."

"เอาเถอะเอาเถอะ ไม่เป็นไร" โสเครติสกล่าว "ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่ท่านรู้มาจริง หรือ เท็จ"

คราวนี้มาลองทดสอบตัวกลั่นกรองตัวที่สองกันดูตัวกลั่นกรองที่สอง คือ"ความดี"

"เรื่องที่ท่านกำลังจะบอกข้าเกี่ยวกับเพื่อนของท่านเป็นเรื่องดี หรือไม่?"

"ไม่ เป็นเรื่องตรงกันข้าม..."

"ถ้าเช่นนั้น" โสเครติสกล่าวต่อ" "ท่านต้องการบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องไม่ดีของเขา แต่ท่านไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่...

ไม่เป็นไร ยังไงเสียท่านอาจจะผ่านการทดสอบนี้ก็ได้ เพราะ ยังเหลือตัวกลั่นกรองอีกหนึ่ง:

ตัวกลั่นกรองสุดท้ายนี้คือ"ความมีประโยชน์"

ท่านคิดว่าเรื่องที่ท่านกำลังจะบอกข้าเกี่ยวกับเพื่อนของข้านั้นจะเป็นประโยชน์อะไรกับข้าหรือไม่?"

"ไม่รู้สิท่าน...คงจะไม่"

“อื่มมม" โสเครติสสรุป

"ถ้าเรื่องที่ท่านจะบอกข้านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องดี และไม่มีประโยชน์เหตุใดท่านจึงอยากบอกข้าเล่า?”.

และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้โสเครติสเป็นมหาปราชญ์ และได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง ใช้ตัวกลั่นกรองทั้งสามในแต่ละครั้งที่ได้ยินเรื่องที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับเพื่อนผู้ใกล้ชิดและคนที่เรารักและสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน.

Tuesday, October 31, 2006

เคล็ดลับขับรถลุยน้ำท่ววม

แนะเคล็ดลับขับรถลุยนำท่วม ...เอามาฝาก

ข้อแรก ถ้าไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ต้องกลัวว่า
รถจะดับหรือปล่าว หรือจะมีปัญหาอะไรตามมา เช่น น้ำจะเข้ารถหรือปล่าว
แล้วจะเกิดผลเสียต่ออุปกรณ์อื่น ๆ หรือไม่
แต่ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราควรทำอย่างไรดีละ

ข้อ 1 คือ ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด ในขณะขับรถลุยน้ำลึก หรือแม้จะน้ำตื้นก็ตาม
เพราะ สาเหตุที่รถดับ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปิดแอร์แล้วขับลุยน้ำ
ที่ผมบอกอย่างนี้ ก็เพราะว่า เมื่อเราเปิดแอร์ พัดลมจะทำงาน และอย่าลืมสิครับ
ว่าเรากำลังลุยน้ำลึก อย่างที่ผมเจอวันนี้ ก็คิดว่า น่าจะเกินระดับพัดลม
เพราะฉะนั้น ถ้าเราขืนเปิดพัดลมละก็ สิ่งที่จะตามมาคือ
ใบพัดจะพัดให้น้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง แล้วคุณลองคิดดูว่า อะไรจะเกิดขึ้น
นั่นก็คือ เครื่องจะดับเอาง่าย ๆ

หรือ ถ้าโชคดี หรือโชคร้าย ถ้าเครื่องไม่ดับ ใบพัดก็จะหมุน ๆ ซึ่ง
เราก็ไม่รู้หรอกว่า ขณะที่เราลุยน้ำ อะไรมันจะลอยมาบ้าง มันมีสารพัด
ไม่ว่าจะเป็น ขยะ กิ่งไม้ ไม้หน้าสาม ถุงพลาสติก รองเท้า ซึ่ง สิ่งของพวกนี้
มันมีโอกาสที่จะเข้ามาในห้องเครื่องแล้วโดนใบพัดตัดจนใบพัดหัก
ซึ่งถ้าใบพัดหัก แน่นอนว่า เราขับรถต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน
เพราะระบบระบายความร้อนจะมีปัญหา

ข้อ 2 ควรใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ก็ใช้ประมาณเกียร์ 2 หรือสำหรับออโต้
ก็ใช้เกียร์ L ก็ได้ครับ รวมถึงการขับขี่ที่มีความเร็วต่ำที่สุด
เท่าที่จะเป็นไปได้ และควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ อย่าหยุดอย่าเร่งความเร็วขึ้น


ข้อ 3 คือ ไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูง ๆ เพราะเห็นผู้ขับขี่หลาย ๆ คนมักจะ
เร่งเครื่องแรง ๆ เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะกลัวเครื่องดับ
เพราะกลัวน้ำเข้าท่อไอเสีย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆ
แท้ที่จริงแล้ว การเร่งเครื่อง ยิ่งทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้น
เมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงาน
และสิ่งที่จะตามมาก็เหมือนกับข้อ 1 ครับ
ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสียครับ เพราะต่อให้น้ำจะท่วมท่อไอเสีย
แล้วคุณสตาร์ทรถอยู่ที่รอบเดินเบา
แรงดันที่ออกมาเพียงพอที่จะดันน้ำออกมาอย่างสบาย ๆ

ต่อให้คุณจอดรถทิ้งไว้จนน้ำท่วมท่อไอเสียก็ตาม เมื่อคุณเข้าไปในรถ แล้วสตาร์ทรถ
ผมกล้าพูดได้เลย ทีเดียวติดครับ (กรณีนี้ ที่ผมกล้าพูดว่า รถสามารถสตาร์ทติด
คือ น้ำท่วม แค่ท่วมท่อไอเสียนะครับ ไม่ใช่ท่วมฝากระโปรงนะครับ) แต่
สำหรับรถคาบู ผมเองก็ไม่แน่ใจนะครับ ว่าถ้าถึงขั้น น้ำท่วมท่อไอเสียแล้วมันจะสตาร์ทติดหรือไม่ แต่สำหรับเครื่องหัวฉีด
สบายใจได้ครับ


4. ควรลดความเร็วลง เมื่อ กำลังจะขับรถสวนกับอีกคันที่กำลังขับมา
เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น อย่างที่ผมบอก
ซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมา
มันก็อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้
หลังจากเราลุยน้ำลึกมา สิ่งที่ควรทำต่อ ก็คือ

ข้อแรก พยายาม ย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำ เพราะในช่วงแรก ๆ หลังจากการลุยน้ำลึกมา
มันจะเบรกไม่อยู่ และเป็นอันตรายมาก
ถ้าเราไม่ทำการย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก

สำหรับ เกียร์ธรรมดา ต้องมีการย้ำคลัชเช่นเดียวกับการย้ำเบรก
เพราะหลังการลุยน้ำมา อาจมีปัญหาคลัชลื่น จึงต้องทำทั้งย้ำคลัชและย้ำเบรก

อีกข้อนึงคือ ไม่ควรดับเครื่องทันที ถึงแม้ถึงจุดหมายก็ตาม
เพราะอาจมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ซึ่งควรสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก
ซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีไอออกจากท่อไอเสีย ก็ไม่ต้องตกใจครับ
ก็สตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้น้ำในหม้อพักมันระเหยออกไป เพราะ
ถ้าไม่ทำอย่างนี้ จะทำให้เกิดน้ำค้างอยู่ในหม้อพัก สิ่งที่จะตามมาคือ มันจะผุ

และหลังจากวันที่เราลุยน้ำมาแล้ว เราควรจะทำอย่างไร ไปดูกันต่อค่ะ !!!

1. ล้างรถ รวมถึง การฉีดน้ำเข้าไปในบริเวณใต้ท้องรถด้วย
รวมทั้งบริเวณซุ้มล้อ เพื่อล้างพวกเศษทรายต่าง ๆ ที่มันเกาะติดอยู่ หรือ
บริเวณใต้ท้องรถ ซึ่งอาจมีพวกเศษขยะ เศษหญ้า ติดอยู่ ต้องเอาออกให้หมด
เพราะถ้าเศษหญ้าแห้งมันติดอยู่ใต้รถ อันตรายที่จะเกิดขึ้น มันใหญ่หลวงนัก
หนัก ๆ หน่อย ไฟอาจไหม้ได้

ในคู่มือยังบอกเลยครับว่า รถที่ติดตั้งตัวกรองไอเสีย หรือ (CAT)
ไม่ควรจอดรถไว้บริเวณที่มีต้นหญ้าขึ้นสูง เพราะอุณหภูมิของเจ้า
Catalytic Converter นั้น มันค่อนข้างสูงมาก ๆ

2. สำรวจน้ำมันเกียร์ ว่า มันมีสีผิดปกติหรือไม่ คือ
ถ้ามีลักษณะคล้ายสี ชาเย็น นั่นแสดงว่า
ต้องมีน้ำเข้าไปอยู่ในระบบเกียร์อย่างแน่นอน หรือถ้าเป็นไปได้
ก็เปลี่ยนน้ำมันเกียร์มันซะเลย เพื่อความสบายใจ
เพราะก้านวัดน้ำมันเกียร์นั้นอยู่ค่อนข้างต่ำ และยิ่งรถผ่านการลุยน้ำลึก ๆ มา
มันก็จะท่วมตัวเจ้าก้านวัด ซึ่งเป็นไปได้ที่น้ำจะซึมเข้าไปในระบบเกียร์
และมันก็จะทำให้ระบบเกียร์พัง

3. เช็คลูกปืนล้อ ซึ่ง พูดง่าย ๆ ว่า เจอน้ำทีไร
ลูกปืนล้อมันก็จะดัง เวลาวิ่งความเร็วสูง ๆ อันนี้ทำใจไว้ได้เลย ว่า
อาจต้องเปลี่ยน แต่ โดยปกติแล้ว เจ้าลูกปืนล้อมันจะพังเร็ว ก็เพราะสาเหตุที่ว่า
จอดแช่น้ำมากกว่า แต่ถ้าวิ่งผ่านน้ำ โดยปกติ จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
แต่ถ้าแช่น้ำเมื่อไหร่ละก็ เตรียมตัวเสียเงินได้เลย

4. ตรวจสอบ พื้นพรมในรถ ว่า เปียกชื้นหรือไม่ เพราะ
หลังการลุยน้ำลึกมา มีโอกาสมากที่น้ำจะซึมเข้ามาภายในห้องโดยสาร
เพราะฉะนั้น ต้องเปิดผ้ายาง เปิดพรม เอามือ กดแรง ๆ ดู
หรือลองเอากระดาษซับดูว่ามีน้ำอยู่หรือปล่าว

ถ้ามีน้ำขังอยู่ภายในห้องโดยสาร ผมคิดว่า น่าจะถึงเวลารื้อพรมกันเลยละครับ
เพื่อป้องกันปัญหาตามมา เพราะถ้าคุณไม่รื้อพรม แต่คุณอาจแค่เพียง เอาผ้าซับ ๆ
ให้พื้นแห้ง แล้วจอดตากแดด จริง ๆแล้ว มันก็แห้งเหมือนกัน แต่
สิ่งที่คุณไม่เห็นก็คือ สิ่งสกปรกที่มันยังค้างอยู่ในรถของคุณ
ซึ่งคุณก็น่าจะรู้ว่า น้ำมันมีเชื้อโรคสารพัด แล้วเมื่อมันแห้ง
มันก็จะแพร่เชื้อและเป็นเชื้อราอยู่ในพรม สิ่งที่อยากบอกต่อคือ นอกจากนี้

ในรถยังมีระบบปรับอากาศ
ที่มันจะเป็นตัวช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ
ได้เป็นอย่างดี แล้วมันก็จะหมุนเวียน กลับไปกลับมา อยู่ในรถของคุณ
นั่นก็เป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ เพราะคุณก็สูดเอาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าไปตลอดเวลา
จะว่าไปแล้ว รถสมัยนี้ค่อนข้างออกแบบมาดี ลุยน้ำไม่ค่อยดับกันหรอกครับ

ถ้าทำอย่างที่ผมบอกนะครับ ผมว่า จากสายตา วันนี้ผมลุยน้ำลึกไม่น่าต่ำกว่า 50 ซม
เพราะรถรุ่นใหม่ ๆ จะย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะเจ้า ECU
ไว้ในตำแหน่งที่สูง พูดง่าย ๆ ว่า อยู่ในรถกันเลยหละ รวมถึงกล่องฟิวส์ต่าง ๆ
ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง เพื่อป้องกันน้ำท่วมนี่เหละครับ

โสภณ สุภาพงษ์ เพียงทำหน้าที่มนุษย์

a day with a view 64
ทรงกลด บางยี่ขัน > เรื่อง
โสภณ สุภาพงษ์
เพียงทำหน้าที่มนุษย์

เรื่องราวของปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในมุมที่อาจจะไม่เคยรู้ แต่ควรต้องรู้

โสภณ สุภาพงษ์ ได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ เมื่อปีพ.ศ. 2541 คำประกาศรางวัล
ส่วนหนึ่งอธิบายว่า ‘เขาคือคนที่ช่วยเหลือผู้ยากไร้โดยที่ไม่ใช่หน้าที่ของเขา และทำโดยไม่ได้หวังให้ผู้อื่นรู้’ นั่นทำให้เขาถูกเรียกว่า ‘นักธุรกิจแมกไซไซ’
เขาได้รับพระราชทานรางวัลบุคคลดีเด่นแห่งชาติ สาขาพัฒนาเศรษฐกิจ ปีพ.ศ. 2539
เขาคือผู้ปลุกปั้นกิจการน้ำมันบางจาก จากโรงกลั่นและปั๊มน้ำมันปลายแถวที่ขาดทุนจนกลายมาเป็นธุรกิจน้ำมันที่มีกำไร พร้อมๆ กับสร้างจุดยืนซึ่งแข็งแรงมากในด้านสิ่งแวดล้อม สนับสนุนวิถีผลิตแบบชุมชน เศรษฐกิจพอเพียง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่น (ในความหมายของชาวบ้านจริงๆ ) เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของกิจการ
เขาเคยเป็นและเป็นประธาน กรรมการ ผู้บริหาร บริษัทด้านการเงินการธนาคาร การก่อสร้าง การบินไทย การทางพิเศษ รถไฟฟ้า และรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง รวมทั้งเคยเป็นรองผู้ว่าปตท. เมื่ออายุแค่ 33 ปี
เขาเคยอยู่ในคณะกรรมการนโยบายน้ำมัน และนโยบายพัฒนาเกี่ยวกับชนบทของพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ และนายกรัฐมนตรีหลายท่าน
เขาคือสมาชิกวุฒิสภาและที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีหลายสมัย
เขาคือหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปการเมือง ปีพ.ศ. 2538
เขาเป็นอนุกรรมการในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้รับผิดชอบโดยตรงกับการตรวจสอบกรณีผู้ถูกอุ้มฆ่า สูญหาย บาดเจ็บ ทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เขาเป็นกรรมาธิการวุฒิสภาสอบสวนการสูญหายของคุณสมชาย นีละไพจิตร ทนายความที่ช่วยทำคดีให้ชาวบ้านที่ถูกฟ้องร้องอย่างไม่เป็นธรรม
เขาทำงานร่วมกับสภาทนายความ ชมรมทนาย เพื่อเข้าไปดูแลคดีความเพื่อให้เกิดความยุติธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เขาเป็นหนึ่งในกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ
2 ปีก่อน เขาเริ่มลงไปช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียในหมู่บ้านบริเวณพื้นที่อันตรายของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยหน้าที่ของมนุษย์ที่พึงมีต่อมนุษย์
และสิ่งที่เขากำลังจะเล่าต่อไปนี้ คือข้อมูลจริงอีกด้านจากในพื้นที่ ซึ่งคนนอกพื้นที่อาจไม่เคยรู้
แต่ควรต้องรู้



เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าพูดโดยสรุปที่สุดก็คือ เหตุรุนแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เริ่มต้นจาก 2 ฝ่ายคือฝ่ายเจ้าหน้าที่บางคนที่ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยอุ้มฆ่าชาวบ้านที่บริสุทธิ์ และโจรไม่กี่ร้อยคนที่เราไม่รู้จักได้ฆ่าชาวบ้านบริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยมรายวัน คนร้าย 2 ฝ่ายนี้ปนอยู่กับชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เกือบ 2 ล้านคนที่กำลังหวาดกลัวทั้ง 2 ฝ่าย นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่เสียสละ กลุ่มขบวนการแยกดินแดนในอดีตซึ่งมีอายุมากแค่ไม่กี่คน และวัยรุ่นที่กลายมาเป็นแนวร่วมของโจร เนื่องจากคับแค้นใจที่ญาติพี่น้องถูกตั้งศาลเตี้ยอุ้มฆ่ามากขึ้นทุกวัน ถ้าปราบพวกตั้งศาลเตี้ยได้ แนวร่วมโจรก็จะหมดไป ชาวบ้านก็จะศรัทธาและกล้าบอกเจ้าหน้าที่รัฐว่าใครคือพวกตั้งศาลเตี้ย ใครคือโจร
ก็จะทำให้ปราบโจรได้เหมือนเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้
วันนี้รัฐบาลยังไม่รู้จักแกนนำโจร ไม่รู้จักโครงข่ายขบวนการที่แท้จริง แต่เรารู้ว่าไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องศาสนา ไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องการแบ่งแยกดินแดน และยังไม่มีองค์กรก่อการร้ายข้ามชาติใดเข้ามาปฏิบัติการ อาจมีในระดับเพื่อนที่เคยฝึกรบร่วมกันในต่างประเทศมาก่อน มีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปต่อไป มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นมากกว่า 3,000 ครั้งในรอบ 2 ปี แต่ยังจับผู้กระทำผิดไม่ได้ ในไม่ช้าก็จะพาไปสู่ความขัดแย้งทางศาสนา เชื้อชาติ และต่างประเทศในที่สุด

ถ้าจะทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราต้องไปเริ่มต้นกันที่ตรงไหน
คงต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ก่อนว่าคนไทยเชื้อสายมลายูอยู่บนแผ่นดินไทยมาก่อนไทยทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นไทยจีน ไทยมอญ ไทยลาว ไทยเขมร กรุงสุโขทัยสถาปนาขึ้นเมื่อ 900 ปีที่แล้ว แต่ไทยมลายูอยู่ที่ภาคใต้ของไทยมาตั้งแต่ 1,800 ปีที่แล้ว กินพื้นที่ไปถึงประเทศมาเลเซียในขณะนี้ทั้งหมด จากอ่าวสยามจรดฝั่งอันดามัน เป็นอาณาจักรมลายูที่เรียกว่า ลังกาสุกะ คนมลายูเมื่อ 1,800 ปีก่อนนับถือศาสนาฮินดู พราหมณ์ เปลี่ยนเป็นพุทธ และเพิ่งมาเปลี่ยนเป็นอิสลามเมื่อ 500 ปีที่แล้ว เพราะสุลต่านเจ้าเมืองไม่สบาย มีหมอมุสลิมมารักษา
จนหาย เลยเลื่อมใสศาสนาอิสลาม อาณาจักรลังกาสุกะจึงเปลี่ยนเป็นปาตานีดารุสลาม
ในยุคกรุงศรีอยุธยา เราอยู่กันเป็นกลุ่มก๊กต่างๆ โดยส่งบรรณาการให้กรุงศรีอยุธยา พอกรุงแตก ก๊กต่างๆ ก็แตกออกจากกัน จนรัชกาลที่ 1 ยกทัพไปปราบก๊กต่างๆ หัวเมืองมลายู นครศรีธรรมราช และยกทัพมาตีปาตานีซึ่งเคยเป็นรัฐอิสระมาก่อน กวาดต้อนเชลย 4-5 พันคนมาไว้ที่พระประแดง บ้านครัว ฝั่งธนฯ ใช้เป็นทหารช่วยออกรบป้องกันกรุงรัตนโกสินทร์สมัยสงครามกับพม่าและเขมร ในยุคล่าอาณานิคมสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2452 อังกฤษก็เข้ามาเฉือนดินแดนกลันตัน ไทรบุรี ตรังกานู และปาลิส รวม 15,000 ตารางไมล์ เป็นของอังกฤษภายใต้ชื่อ บริติชมลายู ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียในปัจจุบัน ส่วนดินแดนมลายูที่เหลือคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตกลงให้เป็นของสยาม ตามทัศนคติของสยาม ประวัติศาสตร์ปัตตานีถือเป็นเรื่องขบถ แต่ในมุมมองของปัตตานีเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระ เพราะฉะนั้นพวกที่มีเชื้อราชวงศ์สุลต่านรัฐปัตตานีเดิมหรือกลุ่มบีอาร์เอ็นก็พยายามเรียกร้องขอเป็นอิสระ เพราะเชื้อสายเขาเคยเป็นอิสระมาก่อน

มีการปกครองดูแลดินแดน 3 จังหวัดหลังจากนั้นอย่างไร
ในปีพ.ศ. 2466 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกำหนดพระบรมราโชบายสำหรับมณฑลปัตตานีไว้เป็นการเฉพาะ มีสาระสำคัญโดยย่อดังนี้
ข้อที่หนึ่ง ระเบียบหรือข้อปฏิบัติที่เป็นการเบียดเบียน กดขี่ ศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิกแก้ไขเสียทันที การใดยิ่งทำให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสดามูฮัมหมัดได้ยิ่งดี
ข้อที่สอง การกะเกณฑ์ใดๆ ต้องอย่าให้ยิ่งกว่าที่พลเมืองในแว่นแคว้นของต่างประเทศ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงติดต่อกัน
ข้อที่สาม การกดขี่บีบคั้น ดูแคลนพลเมืองชาติแขกโดยเจ้าพนักงานของรัฐบาล ต้องแก้ไขระมัดระวัง
มิให้มีขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องให้ผู้ทำผิดรับผลตามความผิด
ข้อที่สี่ กิจการใดต้องบังคับแก่ราษฎรต้องระวังอย่าให้ราษฎรขัดข้องเสียเวลา
ข้อที่ห้า ข้าราชการที่จะแต่งตั้งออกไป พึงเลือกเฟ้นแต่คนมีนิสัยซื่อสัตย์ สุจริต สงบเสงี่ยมเยือกเย็นไม่ใช่ส่งไปเป็นทางลงโทษเพราะเลว
ข้อที่หก การวางระเบียบการอย่างใดขึ้นใหม่ ในมณฑลปัตตานี อันจะเป็นทางพากพานถึงทุกข์สุขราษฎรก็ควรพิจารณาเหตุผลแก้ไขหรือยับยั้ง

นโยบายต่อภาคใต้ในสมัยรัฐบาลเผด็จการของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เปลี่ยนแปลงไปไหม
ในปีพ.ศ. 2482 จอมพลป. เปลี่ยนชื่อประเทศสยามที่พระราชทานโดยพระมหากษัตริย์มาเป็นประเทศไทย และบังคับวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆ ในสยามให้เหมือนคนกรุงเทพฯ สั่งห้ามแต่งกายมุสลิม ห้ามใช้ภาษามลายู จำกัดวิถีชีวิตประจำวันตามศาสนาอิสลาม ล้มเลิกพระราโชบายที่รัชกาลที่ 6 ทรงกำหนดไว้
พอถึงยุคที่คุณปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกฯ เมื่อปีพ.ศ.2487 คุณปรีดีก็มองภาคใต้แบบเป็นเพื่อน คือจริงๆ แล้วคนไทยพุทธกับไทยมุสลิม เขาไม่ได้มีปัญหากัน ชาวบ้านเขารักกันมานมนาน คนจีนอาจจะมีลูกจ้างเป็นมุสลิม แต่เขาจะไม่ให้คนมุสลิมทำงานในครัว ถ้าไปปัตตานีจะเห็นคนจีนเปิดร้านขายเสื้อสำหรับใส่ทำละหมาด เจ้าของร้านเขาสอนเยาวชนมุสลิมได้เลยว่าผ้าอย่างนี้ละหมาดได้หรือไม่ได้ คือเขามีชีวิตอยู่ด้วยกัน
ถึงแตกต่างแต่ก็อยู่ด้วยกันได้ เคารพกัน ตอนนั้นคุณปรีดีก็พยายามสร้างความสมานฉันท์ในภาคใต้ มีการออกพ.ร.บ.อิสลาม ให้มีตำแหน่งจุฬาราชมนตรีขึ้นมาเพื่อถวายคำปรึกษาต่อในหลวงในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ที่เราไปเข้าใจว่าตำแหน่งนี้เป็นพระ ที่จริงเป็นคนปกติ เป็นตำแหน่งกึ่งทางการเมือง ไม่ใช่ตำแหน่งทางศาสนา
ไม่เหมือนอิหม่าม (ผู้นำประกอบพิธีทางศาสนา) หรือ โต๊ะครู (ผู้บอกเรื่องศาสนาและสอนตีความศาสนา) ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นท่ามกลางความยากลำบาก ฉะนั้นคำพูดทุกคำพูดมีเหตุ เช่น ที่พูดว่า คนนอกศาสนา
ในอดีตพวกเขาต้องต่อสู้กับคนนอกศาสนาที่ยกทัพมาฆ่า พวกเขาถึงเรียกคนพวกนี้ว่าคนนอกศาสนา ไม่ใช่ว่ามาใช้ในวันนี้แล้วหมายถึงทุกคนนอกศาสนาหมด เขาถึงต้องมีคนมาบอกว่าคำพูดนี้มันหมายถึงเหตุอะไร คนมุสลิมโดยทั่วไปเขาถึงเคารพเชื่อฟังอิหม่ามกับโต๊ะครูมากๆ

เหมือนว่าทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี แล้วปัญหาความไม่สงบในภาคใต้เริ่มต้นขึ้นจากอะไร
ต้นปีพ.ศ. 2491 หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ โต๊ะมีนา พ่อของคุณเด่น โต๊ะมีนา ได้ยื่นข้อเสนอกับทางรัฐบาลว่าภาคใต้ควรมีกฎหมายบริหารที่สอดคล้องกับศาสนาอิสลาม ที่ต้องการกฎหมายเฉพาะก็เพราะกฎหมายที่ใช้อยู่มันละเมิดความเชื่อทางศาสนา คนมุสลิมเขาก็ทุกข์มาก ถือเป็นความพยายามที่จะแก้ปัญหาภาคใต้ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย รัฐบาลของจอมพล ป. ซึ่งปฏิวัติเข้ามาในปลายปีพ.ศ.2490 ได้ปฏิเสธข้อเสนอเหล่านี้ แล้วหะยีสุหลงก็ถูกจับตัวไป คนไทยมลายูเลยมาชุมนุมกันที่นราธิวาสเพื่อเรียกร้องขอคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น จนกลายเป็นการปะทะกัน สุดท้ายจอมพล ป. ก็ใช้กำลังเข้าปราบปรามจนผู้ชุมนุม 400 กว่าคนเสียชีวิต เรียกว่า กบฏดุซงญอ ตอนนั้นมีคนไทยมลายูหลายพันคนอพยพหนีตายไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนใหญ่ไปอยู่มาเลเซีย พอมีรายได้ก็ส่งเงินมาช่วยเพื่อน ช่วยครอบครัว ที่ทุกวันนี้เราเข้าใจว่ามาเลเซียส่งเงินมาให้นั้นไม่ใช่ เป็นคนที่หนีไปส่งกลับมาให้ ถ้าคนกลุ่มนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็คงมีอายุมากกว่า 70-80 ปี

การมีกฎหมายพิเศษที่ใช้เฉพาะ 3 จังหวัดนั้นเป็นไปได้จริงๆ หรือ
อเมริกามี 50 กว่ารัฐ กฎหมายยังต่างกันหมด รัฐนี้ทำอย่างนี้ผิด อีกรัฐไม่ผิด แต่เมืองไทยไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ คิดว่าต้องเหมือนฉันหมด แต่ละคนโตมาไม่เหมือนกัน พวกนึงบอกไม่เหมือนก็ไม่เป็นไร แต่อีกพวกบอกต้องเหมือน ไม่เหมือนต้องฆ่า เหตุการณ์นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อการร้ายติดอาวุธ เพราะมันคุยกันไม่ได้แล้ว ถูกฆ่าตาย มันขมขื่น ที่เหลือก็ต้องต่อสู้

อะไรทำให้ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่รัฐคุยกันดีๆ ไม่ได้
พลเอกเปรมเล่าไว้ในหนังสือประวัติของท่านว่า ตอนที่ท่านไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อปราบคอมมิวนิสต์ในภาคอีสานซึ่งรุนแรงมาก วันถัดมาหลังจากเข้ารับหน้าที่ ทหารของท่านถูกยิงตายไป 23 คน
ท่านเสียใจมาก แล้วก็ตั้งคำถามว่าทำไมชาวบ้านถึงเกลียดเรา ทำไมพูดกับเขาแล้วเขาไม่พูดด้วย พอไปคุยหลายๆ ครั้ง เขาก็บอกว่าเกลียดเพราะถูกเจ้าหน้าที่รังแก กดขี่ข่มเหง รีดไถต่างๆ นานา ท่านมองว่านี่คือสาเหตุของปัญหา เลยยืนยันกับชาวบ้านว่าถ้าใครมากดขี่ข่มเหง ทหารจะจัดการให้ ถ้าเป็นคนของเรา เราก็จะจัดการ แล้วก็ตั้งทสปช. (กลุ่มราษฎรอาสาสมัครไทยอาสาป้องกันชาติ) ไว้ช่วยจับโจร ชาวบ้านเลยเริ่มเชื่อใจเจ้าหน้าที่รัฐ เริ่มหันหน้ามาคุยกับเรา ก็คือเริ่มต้นแยกโจรออกจากชาวบ้านด้วยการปราบเจ้าหน้าที่ที่กดขี่ข่มเหงก่อน

ได้ยินมาว่าคนไทยมุสลิมใน 3 จังหวัดได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐเหมือนพลเมืองชั้น 2 มาหลายสิบปีแล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
ปัญหานี้เริ่มมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ที่มีการส่งข้าราชการจากส่วนกลางไปปกครอง พออยู่ไกลหูไกลตา เจ้าหน้าที่บางคนก็ไปแสดงอำนาจ ไปค้าขาย โดยเฉพาะตำรวจกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน ก็เป็นทุกแห่งนั่นแหละที่ข้าราชการไม่ได้รับใช้ประชาชน ยิ่งผู้มีอำนาจรู้สึกว่าพวกเขา (คนมุสลิม) ไม่ใช่พวกเราด้วยยิ่งไปกันใหญ่ ลืมไปว่าเขาคือคนไทย เป็นนายจ้างเรา

ปัญหาความขัดแย้งใน 3 จังหวัดในช่วงที่พลเอกเปรมเป็นนายกฯ นั้นรุนแรงแค่ไหน
ปีพ.ศ. 2523 มีกลุ่มก่อการร้ายในภาคใต้ที่ติดอาวุธอย่างน้อย 62 กลุ่ม มีโจรจีนคอมมิวนิสต์ โจรจีนมาเลเซีย โจรแบ่งแยกดินแดน โจรอาชญากรรม มีสารพัดโจร จำนวนหลายพันคน ตอนนั้นรุนแรงมาก มีกองกำลังติดอาวุธข้ามไปข้ามมาระหว่างมาเลเซียกับไทย พวกที่ก่อการร้ายในมาเลเซียก็ข้ามมาอยู่ในไทย พวกที่ก่อการร้ายในไทยก็ข้ามไปอยู่ในมาเลเซีย ตอนนั้นสิ่งที่พลเอกเปรมแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมก็คือ ท่านตั้งศอ.บต. (ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) ท่านไม่ได้สมมติเอาจากกรุงเทพฯ ว่าจะไปปราบใคร ท่านเริ่มที่พื้นที่เลย ให้คนมีศีลธรรมที่อยู่ในราชการเป็นผู้อำนวยการศูนย์
ศอ.บต. ดึงเอาผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา อิหม่าม โต๊ะครู พระ เข้ามาร่วม ชาวบ้านเขาผูกพันกับผู้นำศาสนา เพราะชีวิตเขาอยู่กับศาสนา ฉะนั้นมีสุขมีทุกข์อะไร เขาก็บอกผู้นำศาสนาหมด เพราะเขาไว้ใจว่าคนที่ฟังมีศีลธรรม พอได้ข้อมูล ศอ.บต. ก็จับผู้ร้ายผ่านกองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหารที่เรียกว่า พตท. 43 เป็นหน่วยปราบโจรที่ได้ข้อมูลจริง ผู้อำนวยการศอ.บต. ก็เป็นคนที่มีบารมีพอที่จะข้ามไปทุกกระทรวงเพื่อโยกย้ายข้าราชการที่เลว กดขี่ข่มเหง คอร์รัปชั่น ค้ายาเสพติด ในปีแรกที่ตั้งศอ.บต. คือปีพ.ศ. 2524 มีการย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่มากกว่า 220 คน ชาวบ้านก็รู้สึกเชื่อถือ การก่อเหตุร้ายแรงในช่วงนั้นลดฮวบลงมาเลย ระยะเวลาระหว่างปีพ.ศ.2523-2544 มีผู้ก่อเหตุร้ายอยู่ในขบวนการแบ่งแยกดินแดนซึ่งเป็นขบวนการกึ่งการเมืองมามอบตัวทั้งหมด 969 คน พวกนี้เป็นนักรบเลย เพราะว่าในปีพ.ศ.2528 เป็นจุดเริ่มต้นที่คนไทยมลายูบางส่วนไปฝึกเป็นนักรบมูจาฮิดีนที่ปากีสถาน ชายแดนอัฟกานิสถาน

ไปฝึกเพื่ออะไร
เพื่อรับใช้ศาสนา ศาสนาอิสลามถือว่ามุสลิมเป็นพี่น้องกันทั้งโลก ใครทุกข์ยากต้องช่วย เป็นศาสนาที่ดี เพราะฉะนั้นการที่มีใครมาทำลายมุสลิมในอัฟกานิสถานมันเป็นสิ่งที่ต้องช่วยเหลือตามหน้าที่ คนที่ไปฝึกก็คือคนที่ต้องการจะสละชีวิตเพื่อต่อสู้กับทหารรัสเซียที่ฆ่ามุสลิมในอัฟกานิสถาน ก็ไปพบกับนายอับดุล ซายาฟ หัวหน้ากลุ่มมูจาฮิดีนที่มีกองกำลังเป็นหมื่นๆ คน เป็นการฝึกเพื่อก่อการร้ายโดยรัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ฝึกให้ เพื่อให้เข้าไปก่อการร้ายต่อรัสเซียที่ปกครองอัฟกานิสถานมาตลอด 10 ปี ตั้งแต่ปีพ.ศ.2523-2533 ได้ทำลายกองทัพรัสเซียในอัฟกานิสถานจนประเทศรัสเซียย่อยยับลงไปเลย รัฐบาลอเมริกาใช้โรงเรียนที่คล้ายปอเนาะ (โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม) ในปากีสถานที่เรียกว่ามาดราสซา (Madrassa) 5-6 หมื่นแห่งเป็นตัวกระตุ้นว่านี่คือสงคราม
เพื่อศาสนา เพราะฉะนั้นคนกี่หมื่นคนที่นั่นที่ถูกฝึกเป็นมูจาฮิดีน อเมริกามีชื่อหมด ในนั้นมี บิน ลาเดน ด้วย เพราะฉะนั้นวันที่บิน ลาเดนหันหลังกลับบอกว่าอเมริกาทรยศ มายึดดินแดนเขา กลายเป็นศัตรูกัน รัฐบาลอเมริกาก็ไล่กำจัดตามรายชื่อที่เขามี ก็ตามเข้ามากำจัดในประเทศไทยด้วย

ไม่ได้ไปฝึกเพื่อกลับมาแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้
ไม่ใช่ มีข้อมูลว่ามีคนไทยมลายูบางคนเสนอให้กลุ่มนักรบในอัฟกานิสถานและกลุ่มเจไอที่ก่อความรุนแรงในอินโดนีเซียเข้ามาก่อเหตุร้ายในประเทศไทย แต่ได้รับการปฏิเสธเนื่องจากประเทศไทยไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องมาก่อความรุนแรง เพราะประเทศไทยไม่ได้ข่มเหงศาสนาอิสลาม และไม่เคยมีนโยบายต่อต้านมุสลิม
บิน ลาเดน เคยพูดถึงเงื่อนไขที่สำคัญมากอยู่ 2-3 ประการ เขาตั้งคำถามแรกว่า What school of thought, your blood considered blood, why ours is water. ด้วยวิถีคิดอะไร เลือดของพวกท่านถูกเรียกว่าเลือด เลือดของพวกเราถูกเรียกว่าน้ำ คำพูดนี้มันกินใจของคนมุสลิมทั้งโลกว่าพวกเขากำลังถูกดูถูกดูแคลนกดขี่ บิน ลาเดนพูดที่ใจเลย เขาถามว่า ทำไมเราต้องรับใช้ทุนนิยม ทำไมต้องรับใช้รองประธานาธิบดีของบุชที่มีบริษัทน้ำมันเข้ามาหากินในประเทศของเรา แล้วทำไมเราต้องฆ่ากัน

บิน ลาเดนให้เหตุผลของการก่อการร้ายในอเมริกาว่าอย่างไร
บิน ลาเดน บอกว่าที่เขาต้องฆ่าคนอเมริกัน เพราะคนอเมริกาเลือกประธานาธิบดีได้ และเมื่อเลือกประธานาธิบดีที่มีนโยบายฆ่ามุสลิม ให้งบประมาณกับอาวุธมาฆ่าพวกเขา เขาถึงต้องฆ่าคนอเมริกัน แต่เมืองไทยเราไม่เคยเลือกนายกฯ ไปฆ่าคนมุสลิม ถ้านายกฯ ทำก็เพราะนายกฯ อยากร่วมกับบุชเอง ไม่ใช่คนไทยทำ ผมยืนยันว่าคนไทยไม่มีความคิดนี้เลย เงื่อนไขของบิน ลาเดนจึงไม่สอดคล้องอะไรกับในประเทศไทย องค์กรก่อการร้ายต่างๆ ถึงไม่ได้เข้ามาที่ภาคใต้ ภาคใต้เป็นที่ที่เขามาพักร้อนเท่านั้น เขามีเพื่อนเคยไปฝึกรบด้วยกัน ความเกี่ยวข้องคือเป็นเพื่อนกัน รบกับอเมริกาเหนื่อย ขอมานอนพักผึ่งพุงสัก 3 เดือน
บิน ลาเดน ยังให้ข้อเสนอสันติภาพว่า ข้อเสนอสันติภาพนี้จะมีผลทันทีที่ทหารคนสุดท้ายของท่านออกจากดินแดนของเรา ข้อเสนอของบิน ลาเดนมีแค่นี้

การที่รัฐบาลไทยสนับสนุนนโยบายทางการทหารของอเมริกาอย่างชัดเจนในช่วงหลังนี่ไม่เข้าข่ายเงื่อนไขของกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศหรือ
ก็เกือบไปตอนที่คุณทักษิณส่งทหารไปอิรัก ตอนนั้นรัฐบาลเกือบนำเข้าสงครามก่อการร้าย โชคดีที่คนไทยเรียกร้องให้ถอนทหารออกจากอิรักทัน การที่ให้สิงคโปร์เช่าฐานทัพที่อุดรฯ พวกนี้เขาก็เล็งว่าจะมีอเมริกามาอยู่หรือเปล่า เพราะสิงคโปร์เป็นผู้แทนการรบ การค้าของอเมริกาทั้งหมดในภูมิภาคนี้ มาเลเซียก็กังวล ถ้าสิงคโปร์มีฐานทัพอยู่แค่บนเกาะมันก็จบ แต่ถ้ามาเลเซียรบกับสิงคโปร์แล้วต้องยิงอุดรฯ ด้วย เรายุ่งแล้ว แล้วฐานทัพสิงคโปร์ที่เช่าอยู่ที่อุดรฯ ก็อยู่ใกล้ๆ กับพื้นที่ 3,500 ไร่ที่ให้สถานีวิทยุอเมริกาเช่า สถานีวิทยุอะไรต้องมีตั้ง 3,500 ไร่ ใครก็รู้ว่าเป็นระบบวิทยุเพื่อความมั่นคง แล้วทำไมถึงให้สิงคโปร์มาเช่าที่ฝึกรบที่กาญจนบุรี ที่ปราจีนบุรี ถ้ารัฐบาลไทยเที่ยวไปช่วยอเมริกาเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจอย่างนี้ เอาความเป็นความตายของคนไทยไปแลกกับเงินทองก็จะมีปัญหาตามมา

เราไปได้ข้อมูลลึกๆ อย่างการร่วมฝึกรบกับกลุ่มมูจาฮิดีน หรือนโยบายการก่อการร้ายของบิน ลาเดน เหล่านี้มาจากไหน
ในเอกสารของ CIA (หน่วยสืบราชการลับนอกประเทศอเมริกา) เข้าไปดูได้ แล้วก็ได้ข้อมูลจากนักข่าวต่างชาติที่ตามเรื่องพวกนี้ หรือจากองค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่ติดตามวิจัยเรื่องเหล่านี้

เข้าไปดูได้ที่ไหน
ในเว็บไซต์ของเพนทากอน (กระทรวงกลาโหมของอเมริกา) ก็ได้ ทำเนียบขาวก็มี กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาก็มี รัฐธรรมนูญของอเมริกาทำให้เขาต้องเปิดเผยข้อมูลเยอะมาก หรือยุทธศาสตร์ในการทำสงครามกับต่างประเทศ พวกนี้ต้องเปิดเผย เข้าไปดูได้เลย อย่างคู่มือที่กลุ่มอัลกออิดะห์ใช้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินชนตึก ผมก็มี ในคู่มือบอกเลยว่าต้องยิ้มกับทุกคน ลงจากแท็กซี่ก็อย่าลืมยิ้มให้คนขับ มีรายละเอียดขนาดนั้น พอเจ้าหน้าที่ได้คู่มือนั้นมา เมื่ออยู่ในกระบวนการสอบสวนเขาก็ต้องทำเป็นไฟล์ บางที่เป็นความลับ แต่บางที่ก็ไม่เป็น เข้าไปดูที่ FBI (หน่วยสอบสวนกลางภายในประเทศอเมริกา) ปรากฏว่าไม่มี เขาขอปิดเป็นความลับ มามีที่อังกฤษ เขาใส่ไว้ในสำนวนฟ้องทั้งเล่มเลย เราก็แค่กดมันออกมาจากเว็บ

ข้อมูลเหล่านี้ใครเข้าไปอ่านก็ได้
ใช่ครับ เช่น ถ้าคลิกเข้าไปดูที่ US Department of State (กระทรวงการต่างประเทศของอเมริกา) เข้าไปดูที่ Non-NATO เราจะเจอว่าประธานาธิบดีเขาตกลงอะไรกับใครในทุกๆ วันเรื่องอะไร เพราะเป็นข้อมูลที่ต้องเปิดเผย เช่น ในวันที่ 31 ธันวาคม 2003 นายบุชประกาศว่าการที่รัฐบาลไทยเข้าเป็นพันธมิตรที่สำคัญของอเมริกานั้น อเมริกาได้ตอบแทนเราใน 2 ข้อใหญ่ อันแรก ไทยมีสิทธิจะมีคลังอาวุธของอเมริกาในประเทศไทยได้ อันที่สอง ไทยจะได้ผลประโยชน์จากการได้สิทธิซื้อระบบอุปกรณ์ และเทคโนโลยีดาวเทียมทางธุรกิจ เขาระบุแม้กระทั่งว่าที่คุณทักษิณแอบไปพบกับบุช 45 นาที ที่บอกว่าลับห้ามคนไทยอ่านเนี่ย เข้าไปดูสิครับ เขาคุยกันเรื่องเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือก็อ่าน เดี๋ยวเกาหลีเหนือก็หันหัวรบมาทางเมืองไทยหรอก
วันที่ 3 มิถุนายน 2003 ประเทศไทยลงนามกับสถานทูตอเมริกาว่าถ้าคนอเมริกันและทหารอเมริกัน
เข้ามาก่ออาชญากรรมในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรืออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เราจะไม่ส่งเขาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ผมก็ถามคุณสุรเกียรติ (เสถียรไทย)
ว่าเขากำลังจะมาฆ่าใครหรือ ถึงต้องมาทำสัญญาก่อนว่าเขาจะไม่ต้องขึ้นศาล

ข้อมูลแบบนี้ฝ่ายค้านทราบไหม
ไม่รู้ ทราบบ้าง ไม่ทราบบ้าง

ทำไมถึงไม่เคยเป็นประเด็นอภิปรายในสภาบ้างเลย
ที่ห่วงก็คือ ถ้าฝ่ายค้านหยิบขึ้นมา รัฐบาลก็จะหยิบที่สิ่งฝ่ายค้านเคยทำมาเอามาพูดบ้าง

เราฝากความหวังไว้กับสื่อมวลชนได้แค่ไหน
โทรทัศน์นี่หวังไม่ได้เลยเพราะมันเป็นธุรกิจไปหมดแล้ว แล้วก็ถูกควบคุมโดยนายกฯ โดยรัฐบาล ถึงแม้เราจะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าสื่อมวลชนต้องมีอิสรภาพ แต่ในความเป็นจริงก็ทำไม่ได้ ในประเทศทุนนิยมหนักๆ เขาถึงต้องมีกฎหมายควบคุม ถึงไม่มีการฟ้องร้องสื่อมวลชนเพราะกฎหมายห้าม คนรับรู้ได้ว่านี่สื่อมวลชนวิจารณ์ ต้องอ่านหลายๆ สื่อ แต่สื่อเราลำบากทั้งถูกครอบงำโดยธุรกิจ โดยอำนาจ แล้วก็ยังมีการคุกคามด้วยการฟ้องร้องสั่งสอน ถึงสื่อจะชนะ แต่การต้องไปขึ้นศาล 10 ปีก็ทำให้เขาหมดทางทำมาหากิน หรืออาจจะแพ้เพราะไม่มีกำลังเงินจะไปหาทนายมาสู้

กลับมาที่เรื่องภาคใต้ หลังจากที่กลุ่มผู้ก่อการร้าย 969 คนมอบตัวแล้ว เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
เมื่อ 969 คนมามอบตัว บางส่วนก็เป็นสายข่าวให้ทหารเพื่อสร้างความยุติธรรมในภาคใต้ เป็นการร่วมมือกันทั้งศาสนา ทั้งชาวบ้าน เพราะฉะนั้นกระบวนการดูแลปราบโจรในช่วงนั้นจึงเป็นเรื่องของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ช่วยกัน ถ้าเราไปถามโต๊ะครู ถามอิหม่าม ถามพระว่ารู้จักคนในหมู่บ้านไหม 500 คน 800 คน รู้จักหมด ขี่มอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อกก็จำได้ ก็เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครทำอะไรก็รู้กันหมด สมัยก่อนตำรวจจะจับใครก็ไปคุยกันที่มัสยิดว่าคนนี้ผิดใช่ไหม แล้วก็ช่วยกันจับ เขาถึงรู้หมดว่าใครอยู่ที่ไหน

อะไรทำให้คนเหล่านี้ตัดสินใจมอบตัว
เขาเชื่อในคุณธรรมของผู้นำ นายกรัฐมนตรีในช่วงปีพ.ศ.2523-2543 สังวรว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรักษาใจคน 1.7 ล้านคนด้วยพระเมตตา ยึดพระบรมราโชบายของรัชกาลที่ 6 ในการดูแลภาคใต้
ข้อแรก คือ ห้ามกดขี่เบียดเบียนศาสนาอิสลาม ข้อสอง ทำอะไรต้องดีกว่ามาเลเซีย ข้อสาม ห้ามข้าราชการเลวๆ ไปอยู่ นั่นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 นะ สมัยนายกฯ ทุกท่านที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีความคิดอยากฆ่าใคร ความสัมพันธ์ของป๋า (พล.อ.เปรม) กับประชาชนเป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่แข็งแรงกว่าที่มีหน้าที่ช่วยดูแลคนอ่อนแอกว่า เมื่อชาวบ้านมีปัญหาความไม่ยุติธรรม ศอ.บต.ก็สามารถโยกย้ายข้าราชการกดขี่ข่มเหงให้ได้ ทำอย่างนี้ชาวบ้าน
ก็มั่นใจ จำนวนผู้ก่อการร้ายถึงลดลง จนเด็กรุ่นนี้ในภาคใต้ไม่รู้เรื่องเลยเกี่ยวกับกระบวนการแบ่งแยกดินแดน เด็กรุ่นนี้ซื้อครีมทาหน้าขาวหมดแล้ว อยู่ในศาสนา มีชีวิตที่น่ารักเหมือนเด็กทุกแห่ง

แปลว่าอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนนั้นไม่มีอยู่จริงแล้ว
มีอยู่ในคนอายุ 70-80 ปี ไม่กี่คน น้อยจนมันเป็นไปไม่ได้แล้ว พวกที่อยากแบ่งแยกดินแดน เขาหนักใจเด็กของเขามากกว่าหนักใจทหารเราอีก เพราะเด็กมันไม่เอาแล้ว ขี่มอเตอร์ไซค์แล้ว ซื้อครีมหน้าขาวแล้ว มันจบไปแล้ว สอง คือวิธีคิดของเขามันเปลี่ยนไป ไม่ผูกพันกับเจ้ารัฐปัตตานีอะไรอีกแล้ว สาม ผมเคยถามคุณทักษิณ (ชินวัตร) ว่าช่วยแบ่งภาคใต้ให้ดูหน่อยสิว่าจะแบ่งได้ยังไง ก็แบ่งไม่ได้ สหประชาชาติก็รับรองไม่ได้ จะรับรองได้
ก็ต่อเมื่อต้องเป็นรัฐอิสระมาก่อนแล้วถูกยึดครอง แต่นี่ไม่ใช่ยึดครอง เราอยู่กันแบบนี้มานานแล้ว ถ้าบอกว่าเมื่อ 200 ปีก่อนเคยเป็นรัฐอิสระแล้วกรุงรัตนโกสินทร์ยกทัพมาตี ถ้าเงื่อนไขนี้ก็ต้องคืนกันจมเลย อเมริกาก็ต้องคืนให้อินเดียนแดง ออสเตรเลียก็ต้องคืนให้ชนพื้นเมืองเดิมพวกอะบอริจิน การแบ่งแยกดินแดนมันเป็นแค่แผลเป็นในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนไปสร้างความขมขื่น ความอยุติธรรมให้ เมื่อมีคนคิดต่อสู้เขาก็จะไปยกเรื่องที่รวมทุกคนไว้ด้วยกัน คือเรื่องศาสนา หรือเรื่องชนชาตินิยม แบ่งแยกดินแดน

ตอนที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาเหลือโจรอยู่สักเท่าไหร่
พ.ต.ท.43 รายงานว่า โจรที่เคยมีหลายพันคนในปีพ.ศ.2523 เหลือเพียง 70-80 คน ในปีพ.ศ.2543 เป็นโจรกลุ่มเก่าๆ ซึ่งจบไปแล้ว ไม่ปฏิบัติการอะไรแล้ว พวกที่เป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนโดยอุดมคติ
ก็มีอายุ 70-80 ปี น้อยใจไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว การก่อเหตุร้ายใน 3 จังหวัด เมื่อปีพ.ศ.2543 เหลืออยู่ 32 ครั้ง และก็ไม่โหดเหี้ยมเหมือนปัจจุบัน แต่ปีพ.ศ.2547 เพิ่มขึ้นเป็น 1,253 ครั้ง ใน 2 ปีมีคนถูกฆ่าตายไปแล้วมากกว่า 1,000 ราย ไม่รวมผู้บาดเจ็บ พิการ กำพร้า เป็นหม้าย และหวาดผวาอีกหลายหมื่นคน ทำไมโจรแบ่งแยกดินแดนที่เคยมีจำนวนแค่ 70 คน เมื่อปีพ.ศ. 2544 ถึงมีแนวร่วมเพิ่มเป็นพันๆ คน ในปีพ.ศ. 2548 รัฐบาลนี้ทำอะไรลงไป

รัฐบาลทำอะไรลงไป
ตอนที่นายกฯ ทักษิณนี้เข้ามารับตำแหน่งเมื่อปีพ.ศ. 2544 พอรู้ว่าเหลือโจรอยู่ 70 คนก็บอกว่าโจรกระจอก รู้หมดแล้ว เดี๋ยวจะจัดการให้หมด แล้วก็สั่งยุบศอ.บต. และพ.ต.ท.43 เมื่อปีพ.ศ. 2545

นายกฯ ให้เหตุผลในการยุบว่า
ตอนนั้นมีตำรวจที่ประพฤติไม่ดีอยู่ในสำนวนสอบสวนของ ศอ.บต.ร้อยกว่าคน พวกตำรวจก็เลยอยากยุบ ท่านก็มาจากสายตำรวจ ศอ.บต.ประกอบด้วยทั้งตำรวจและทหารที่ดี แต่ช่วงนั้นคนที่ถูกสอบสวนส่วนใหญ่เป็นตำรวจ และเจ้าหน้าที่บางส่วน อีกเหตุผลคือ มีความรู้สึกว่า ศอ.บต. เป็นโครงสร้างของพวกประชาธิปัตย์
ถ้าจะชนะเลือกตั้งในปีพ.ศ. 2548 ก็ต้องจัดการกับโครงสร้างนี้ซะ

เกิดอะไรขึ้นหลังจากยุบศอ.บต.
เกิดการอุ้มฆ่าเยอะมาก ช่วงนั้นเป็นช่วงฆ่าตัดตอนยาเสพติดด้วย คุณสมชาย นีละไพจิตรก็ถูกอุ้ม
คุณสมชายเป็นทนายความที่ต่อสู้เพื่อคนยากไร้มาตลอด 20-30 ปี ช่วยทำคดีให้แพะ ให้คนที่ถูกยัดเยียดข้อหาจำนวนมาก คดีทางภาคใต้นี่เยอะเลยทั้งถูกยัดข้อหา ถูกทารุณ ก็สู้คดีจนศาลปล่อยผู้บริสุทธิ์


คนที่ถูกอุ้มฆ่าส่วนใหญ่เป็นใคร
สายข่าว เป็นที่รู้กันว่าข้อมูลที่เข้ามายังศอ.บต.ที่บอกว่าใครคือพวกใช้ศาลเตี้ยใครคือพวกโจร มาจากใครบ้าง ก็คือเอ็งที่ขี้ฟ้องทั้งหลาย ชาวบ้านที่ช่วยให้ข่าวก็ถูกพวกศาลเตี้ยอุ้มฆ่า แล้วก็อ้างว่าเป็นพวกก่อการร้ายบ้าง ค้ายาบ้าง อ้างสารพัด แต่ไม่ได้เอามาดำเนินคดี หายไปเฉยๆ ช่วงนั้นคนหายเยอะแยะไปหมด พวกที่หายมากที่สุดก็คือสายข่าวทหาร ที่นั่นก็เลยกลายเป็นระเบิด ชาวบ้านก็กลัวไปหมด พอคุณสมชายหาย ความขมขื่น
ก็เกิด พอมีการปล้นปืนๆ ก็หายวับไปเลย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าไปไหน ถ้าสมคบกัน 2 คนแล้วไม่มีคนรู้ อันนี้ปกติ แต่นี่คนเป็นร้อย ปล้นปืน 400 กว่ากระบอกโดยที่ไม่มีใครรู้เลย ตลกมากเลยนะ แสดงว่าหลังจากยุบศอ.บต.
การเชื่อมโยงข้อมูลความจริงทั้งหมดหลุดหายหมดเลย

หลังจากยุบศอ.บต. แล้วกระบวนการสืบข่าวทำกันยังไง
ข้อมูลในยุคของศอ.บต. เป็นข้อมูลที่มาจากเรื่องจริงทั้งหมด เพราะคนจริงเป็นคนบอก แต่พอยุบศอ.บต. ความจริงก็ถูกตัดทิ้ง โจรก็เข้ามารับรู้ความทุกข์แทน แล้วเข้ามาจัดการให้แทน ใครกดขี่เหรอ ยิงให้เอาไหม ชาวบ้านก็รู้สึก เออ จัดการมันซะบ้างก็ดี ทีนี้พอรัฐบาลอยากรู้ข้อมูลบ้างทำไง ก็ส่งคนของตัวเองลงไปสืบ มันคนละเรื่องแล้ว เพราะไม่ได้มาจากเรื่องจริง คนไปสืบก็ต้องเล็งตานายว่าอยากได้อะไรด้วย ต้องไปสร้างข่าวให้ตรงกับนาย สร้างเรื่องให้ตรงกับข่าว ตัวเองจะได้มีความสำคัญ อันไหนพูดไปนายโกรธก็ไม่พูด เรื่องมันก็เริ่มไม่จริงแล้ว พอลงไปในพื้นที่มันก็มีคนที่ทำตัวเป็นผู้รู้ เขาถึงพูดกันว่ามันมีพวกไม่รู้แล้วไม่ชี้ พวกรู้แต่ไม่ชี้ พวกรู้และชี้ ซึ่งพวกนี้จะดี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก พวกไม่รู้แต่ชอบชี้ ชี้สุ่มสี่สุ่มห้าว่าคนนั้นพวกนี้เป็นคนทำ มันก็ไปอุ้มผิด
เรื่องนี้ผมเพิ่งเขียนลงหนังสือพิมพ์ไป เป็นรายงานหน้าแรกของกอส. (คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ) ด้วย ผมไปพบกับคุณสีหมะ สามีเป็นทหารผ่านศึกปลดประจำการแล้วชื่อมะตอลาฟี
สีหมะมีลูก 2 คน คืนวันที่ 14 มกราคม พ.ศ 2547 มีกลุ่มคนคลุมหน้า 10 คนพังประตูเข้ามาลากมะตอลาฟีจากที่นอนต่อหน้าลูกเมียเอาไปซ้อม ถามว่าปืนที่เอ็งปล้นเอาไปไว้ที่ไหน มะตอลาฟีก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ พวกนั้นก็ซ้อม บอกว่าเอ็งขายหมดแล้วล่ะสิ เอาเงินไปไว้ที่ไหน แล้วก็ลากมะตอลาฟีออกไปตอนสองยาม วันที่ 17 มกราคม ก็มาโยนศพมะตอลาฟีไว้ใกล้ๆ บ้าน ถูกทุบตายทั้งตัว ซี่โครงหัก ถูกไฟฟ้าช็อต ชาวบ้านเขารู้กันทั้งตำบลว่ามะตอลาฟีบริสุทธิ์ แต่ไม่มีการสืบสวน ไม่มีการจับผู้ร้าย ตอนนั้นมีแบบนี้เยอะเลย ลากไปทุบๆ เอา
บางคนได้กลับ บางคนก็ไม่ได้กลับ

ถ้ามองโลกในแง่ร้ายที่สุด เรารู้ได้ยังไงว่ามะตอลาฟีไม่ได้เอาไปจริงๆ
ก็ทำไมไม่จับเขามาฟ้องศาล ทำไมถึงตั้งศาลเตี้ย มาตั้งศาลเตี้ยกันเต็มไปหมด ทำแทนศาล แทนตำรวจ ทนาย อัยการ ผู้สอบสวน นึกเอาเองหมด งั้นก็นึกเอาเองได้เลยว่าใครก็ได้ใน 2 ล้านคนเป็นคนที่ควรตาย ก็ต้องฆ่าหมด ไม่ใช่ทำตัวเหมือนโจร เจ้าหน้าที่ดีๆ ที่เสียสละไม่ทำแบบนี้หรอก เราต้องจับโจร แต่ต้องจับโดยมีหลักฐานและใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่ลองฆ่าคนบริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ เผื่อได้ประโยชน์ ทุกคนต้องได้รับความยุติธรรม ตำรวจก็ต้องได้รับความยุติธรรมแบบตำรวจ ชาวบ้านก็ต้องได้รับความยุติธรรมแบบชาวบ้าน โจรก็ต้องได้รับความยุติธรรมแบบโจร เช่น ถ้าทำแบบนี้ติดคุก 40 ปี ทำแบบนี้ประหารชีวิต นั่นคือความยุติธรรม ไม่ใช่ไปตกลงแอบยิงกันเอง เราต้องปราบผู้ร้าย ต้องปกป้องคนดี ไม่ใช่คนดีถูกฆ่า แต่ผู้ร้ายไม่มีใครทำอะไร คนมันก็ไม่อยากช่วยแล้ว เพราะเดี๋ยวถูกฆ่าอีก แล้วอย่างนี้บ้านเมืองจะอยู่กันยังไง ชาวบ้านบอกว่ามีผู้ถูกอุ้มฆ่าจำนวนมาก ใน 3 จังหวัด โดยไม่มีใครรู้ว่าใครทำ
คนที่ถูกอุ้มฆ่าที่ว่าคือผู้บริสุทธิ์
เป็นผู้บริสุทธิ์ ก็ศาลยังไม่ได้ตัดสินเลย ก่อนยุบศอ.บต.ในปีพ.ศ. 2541มาเลเซียจับหัวหน้ากลุ่มพูโลให้ 4 คน ดาโอ๊ะ ท่าน้ำ นั่นแม่ทัพเลย เขาก็ส่งมาให้ไทย เพราะรู้ว่าเราใช้กฎหมาย เดี๋ยวนี้เขาไม่แน่ใจแล้ว

นอกจากกลุ่มพูโลแล้ว ยังมีกลุ่มก่อการร้ายอะไรที่มีบทบาทสำคัญอีก
พวกเปอมูเดอในกลุ่มบีอาร์เอ็นจะรุนแรงหน่อย เปอมูเดอ แปลว่า วัยรุ่น แต่สื่อมาเขียนขบวนการเปอมูเดอ กลายเป็นเหมาวัยรุ่นทั้งหมดเป็นขบวนการก่อการร้ายไป เหตุการณ์ในภาคใต้ตอนนี้คาดกันว่ามาจากกลุ่มนี้เยอะ ทำในสิ่งที่ไม่มีศีลธรรม ฆ่าคนตามถนน พวกบีอาร์เอ็นรุ่นเก่า พูโลรุ่นเก่าถึงออกแถลงการณ์ว่าไม่เห็นด้วย
ใครจะอยากมาอยู่กับขบวนการที่ฆ่าคนตามถนน อุดมการณ์ทางการเมืองมันผิด เขาถึงไม่ให้ใครรู้จักตัว พวกวัยรุ่นที่แตกหน่อมาจากบีอาร์เอ็น
กลุ่ม GMIP (Gerakan Mujahidin Islam Pattani) คือกระบวนการของกลุ่มที่ไปฝึกรบกับกลุ่มมูจาฮิดีน ใน 969 คนที่มามอบตัวไม่มีกลุ่มนี้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะพวกเขาเป็นนักรบที่ตกลงแล้วว่าต้องการตายเพื่อศาสนา แต่ในเมื่อในเมืองไทยไม่มีเงื่อนไขนั้นมันก็จบ พวกเขาก็ยังอยู่ในเมืองไทย เป็นชาวบ้านปกตินี่แหละ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีความขมขื่น ถูกละเมิดในศาสนา ถูกกดขี่ข่มเหง เขาก็ต่อสู้
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มพูโลใหม่ และกลุ่มบีอาร์เอนซี ซึ่งคาดว่าไม่มีบทบาทมากนักในปัจจุบัน

ทำไมโจรพวกนี้ถึงฆ่าคนบริสุทธิ์
วันที่มีการฆ่าตัดคอคนแรกที่นราธิวาส วันนั้นผมก็อยู่ ตัดเสร็จก็เขียนทิ้งไว้ว่า ‘มึงฆ่าคนบริสุทธิ์ กูก็จะฆ่าคนบริสุทธิ์’ ผมถึงบอกว่าทั้งมึงและกูน่ะไม่เคยตาย แต่ผู้บริสุทธิ์ตายทุกวัน ทั้ง 2 ข้างอยู่ในเงามืด เดี๋ยวโต๊ะครูตาย เดี๋ยวพระตาย คือไม่ใช่แค่ฆ่าคนบริสุทธิ์ แต่โจรกำลังยั่วยุให้มีการตอบโต้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ เพื่อจะได้ทำให้ชาวบ้านคับแค้นจนกลายเป็นแนวร่วมให้โจร ชาวบ้านที่เป็นพุทธก็หวาดกลัวโจร ส่วนชาวมุสลิมก็กลัวทั้งโจรทั้งพวกศาลเตี้ย น่าเห็นใจมาก ทุกครั้งที่เกิดเหตุต้องจับโจรให้ได้ แต่นี่ตายไปเป็นพันคนแล้วยังจับแกนนำโจรไม่ได้เลย

ถ้ารัฐบาลบอกว่าก็พันคนที่ตายไปนี่แหละมีโจร 70 คนรวมอยู่ด้วย
ถ้าแกนนำโจรตายมันก็ควรจะจบไปแล้ว แต่ทำไมมันมากขึ้นล่ะ ที่ยังจับไม่ได้แสดงว่าระบบข่าวมันพังหมดแล้ว ผลสำรวจของกระทรวง ICT ชาวบ้าน 82.9 เปอร์เซ็นต์บอกว่าหวาดกลัวเจ้าหน้าที่

ความหวาดกลัวเจ้าหน้าที่มาจากอะไร
มีการอุ้มฆ่ามาตลอด ก็ไม่รู้ใครทำนะ บางทีโจรก็ทำเองเพื่อป้ายไปให้เจ้าหน้าที่ แต่มันต้องมีมูล มันถึงต่อได้ขนาดนี้ มูลก็คือ คนบางคนตายขณะทำละหมาด โจรมุสลิมทำไม่ได้หรอก โจรที่นั่นกลัวที่สุดก็คือมัสยิดพิพากษาว่าตายแล้วจะไม่ไปละหมาดให้ นั่นคือสิ่งที่คนกลัวที่สุดเพราะว่าจะไม่ได้ไปพบพระเจ้า

เป็นโจรแล้วยังกลัวไม่ได้พบพระเจ้าอีกหรือ
อิสลามเป็นเรื่องวิถีปฏิบัติที่ไม่สามารถแยกศาสนาออกจากชีวิตประจำวันได้ คนมุสลิมทุกคนเชื่อว่าตายไปก็จะถูกพิพากษาโดยพระเจ้า ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือโจรก็เชื่อว่าชีวิตของเขาจะเดินไปตามทางนี้
มีหลายคนถูกยิงทิ้งขณะละหมาด แล้วไปบอกว่าโจรฆ่าตัดตอนกันเอง ชาวบ้านเขารับไม่ได้หรอก เหมือนบอกว่าคนพุทธฆ่าพระ เจ้าหน้าที่ฆ่าเอง เราเชื่อไหม เจ้าหน้าที่เลวยังไงก็ฆ่าพระไม่ได้ เหมือนกันครับ ฉะนั้นหลายๆ ข่าวที่ออกไปชาวบ้านเขารับไม่ได้ มันเป็นเรื่องโกหก หรือข่าวที่นายกฯ บอกว่ามีโรงเรียนปอเนาะฝึกอาวุธ มีสนามซ้อมยิงปืน พบปืนด้วย ผมก็ไปดูว่ามันจริงไหม สนามซ้อมยิงปืนที่ว่าคือต้นมะพร้าวมีรู เอามือแยงเข้าไปข้างในเป็นโพรงด้วงมะพร้าวทั้งนั้น ถามว่าปืนอยู่ไหน พอไปตามก็ปรากฏว่าเป็นปืนของผู้ใหญ่บ้านได้รางวัลผู้ใหญ่บ้านดีเด่นได้รับปืนรางวัลจากกระทรวงมหาดไทย แต่ลูกเจ้าของโรงเรียนถูกยิงทิ้งไปแล้ว 3 คนกับเพื่อนในบ้าน ถูกยิง 51 นัด ยิงอยู่ 10 นาที ขณะทำละหมาด ไม่รู้ว่ากลุ่มไหนทำ แต่ถ้าไม่มีการสอบสวนจับกุม ก็จะเกิดความคับแค้นจนไปเป็นแนวร่วมกับโจรอีก

สิ่งเหล่านี้สะสมความขมขื่นให้ชาวบ้านมาเรื่อยๆ
ใช่ โจรน่ะต้องปราบ เราสามารถปราบโจรได้เลย 70 คน ถ้าไม่มีแนวร่วม แต่การที่เราไปกระตุ้นแนวร่วมถือเป็นความพลาดพลั้งครั้งใหญ่ คนที่มาเป็นแนวร่วมกับโจรมันเกิดจากความขมขื่น ถูกกดขี่ข่มเหง ถูกด่าทอ เอาเปรียบ สิ่งที่กรรมการสมานฉันท์พยายามทำก็คือการกันแนวร่วมออกจากโจร แยกน้ำออกจากปลา
ปลาก็ตาย โจรอยากรบกับทหารเหรอ มี 70 คน ทหารตั้งแสน เขาไม่อยากรบหรอก สิ่งที่เขาทำคือพยายามให้รัฐบาลไปปราบเอาคนบริสุทธิ์ ก็ปล่อยข่าวลวงเยอะแยะ
สิ่งที่โจรทำก็คือทำตัวอย่าง เช่น ตัดคอ เพื่อให้พวกที่ขมขื่นทำตาม จุดระเบิด เพื่อให้พวกนั้นระเบิดตาม เขาไม่ได้สั่งนะ ข้างล่างมันเป็นข่าย เป็นจุดๆๆๆ แต่ไม่ได้เป็นเครือ ไม่เชื่อมโยง เราจะเห็นว่าแต่ละที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยเหมือนกัน เหมือนกันเป็นย่านๆ ไม่ได้มีใครสั่ง แต่ความขมขื่นมันสั่ง สิ่งที่รดน้ำพรวนดินให้ข่ายเหล่านี้เจริญงอกงามคือความขมขื่น โดยคำพูดดูถูกดูแคลน การพูดเท็จในเรื่องของเขา โจรก็กระตุ้นด้วยการทำร้ายๆ เช่น ฆ่าพระจะได้โมโห รัฐบาลก็แบ่งให้เสร็จเลยว่าคน 3 จังหวัดนี้ไม่ดี โจรมันยังคิดไม่ได้เลย พอข่าวออกมาอย่างนี้ชาวบ้านใน 3 จังหวัดเขาก็รู้สึกว่าถูกแบ่งแล้ว มันเป็นเรื่องของจิตใจ ไม่ใช่เรื่องของวัตถุ

ความคิดที่สรุปเหมาเอาว่าคนทั้ง 3 จังหวัดไม่ดีเริ่มต้นมาจากไหน
เพิ่งมามีตอนรัฐบาลชุดนี้ คือนายกฯ ท่านชอบด่ากราดหมด ก็ได้คะแนนการเมืองจากอีก 73 จังหวัด
ที่เหลือ แต่คนที่นั่นจะรู้สึกหมดหวัง หดหู่ เพราะมันไม่ตรงกับความจริง ถ้าเริ่มต้นคิดว่าคน 3 จังหวัดไม่ดี ความคิดเราก็จะจมอยู่อย่างนั้น มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าเราไปใน 3 จังหวัด เราจะพบความสงบทั่วไปชาวบ้านเกือบ 2 ล้านคนเป็นคนดี เรื่องของเหตุการณ์ความไม่สงบถ้าเราเรียกว่าเป็นอาชญากรรม ก็มีจำนวนน้อยกว่าอาชญากรรมที่เกิดในกรุงเทพฯ เสียอีก แต่เป็นเหตุที่แตกต่างกัน ที่นั่นมีคนดีมีอยู่ 99.5 เปอร์เซ็นต์ มีโจรแค่ไม่กี่คน คนไม่ดีมันมีอยู่ทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นพุทธหรือมุสลิม ไม่ว่าตำรวจหรือโจร เรากำลังต่อสู้กับคนไม่ดี แต่อย่าไปแบ่งพรรคแบ่งพวกแบบนี้เลย พอแบ่งพวกมันรวมหมดเลยทั้งดีและไม่ดี แล้วคนดีก็จะโดนก่อน เพราะคนทำเลวทำเสร็จมันจะหลบ ยิ่งถ้าไปคิดว่าคนที่อยู่ในศาสนาอิสลามทั้งหมดเป็นพวกเดียวกับพวกแบ่งแยกดินแดนนี่ยุ่งเลย จะเข้าใจผิดอย่างแรง ยิ่งไปคิดว่าเป็นพวกเดียวกับโจร เราเลยกลายเป็นคนทำลายภาคใต้เสียเอง แบบนี้โจรชอบ



เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ว่าปัญหาภาคใต้เกิดจากโจรที่ทำตามอุดมการณ์ทางศาสนา ถูกศาสนาสอนให้ก่อความรุนแรง ทำไมเราถึงเข้าใจกันอย่างนั้นได้
อาจเพราะในช่วงแรกของปัญหา คุณทักษิณไปพูดว่าพวกโง่เขลา พวกหลงผิดในศาสนา เราไม่ควรไปเรียกว่าโจรมุสลิม โจรที่ห้อยพระเครื่องปล้น เราก็ไม่เรียกว่าโจรพุทธ มุสลิมเขาสอนให้คนรักสันติ มุสลิมอ่างทองเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ มุสลิมบึงกุ่มเขาก็ค้าที่ดิน มันไม่ใช่เรื่องของศาสนา มีคนนับถือมุสลิม 1,400 ล้านคนทั่วโลก คนพวกนี้ไม่บ้าไปหมดเลยหรือ พูดอย่างนี้อันตรายเพราะเป็นการพูดแบบเหยียดหยันเหมือนจะดูถูกศาสนา

แล้วเรื่องการญิฮาด
หลังๆ คำว่าญิฮาดมักถูกใช้บ่อยๆ กับเรื่องระเบิดพลีชีพ แต่ในศาสนา ญิฮาดคือการเสียสละทุกอย่างเพื่อศาสนา เสียสละความโลภ หรืออะไรก็ตาม มันอาจจะถูกนำมาใช้อ้างเพื่อให้เกิดการต่อสู้ แต่ไม่ใช่ต้นเหตุ อาจพูดว่าเป็นการเอาศาสนามาอ้างผิดๆ เอาศาสนามาบิดเบือนได้ แต่ตัวคำสอนของศาสนาไม่ได้ผิด

เหตุการณ์ที่ตันหยงลิมอก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่คนนอกพื้นที่ส่วนใหญ่รู้สึกว่าชาวบ้านเหมือนโจร
ที่โหดเหี้ยมอำมหิตมากๆ ความจริงที่ถูกส่งมาถึงที่นี่เป็นความจริงแบบเดียวกับที่เกิดเหตุไหม
ข้อมูลความจริงไม่ได้ถูกส่ง มันเป็นข้อมูลที่ถูกเขียนจากกรุงเทพฯ เดาว่าเขาจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมถึงพยายามบอกว่ามันต้องมีนักข่าวที่ฝังตัวลึกที่นั่น ข่าวที่เราได้ยินคือมีการฆ่านาวิกโยธินอย่างทารุณ แต่เหตุการณ์มันเริ่มด้วยการกราดยิงร้านน้ำชาที่ตันหยงลิมอตอน 2 ทุ่ม เป็นการกราดยิงเป็นแนวยาวประมาณ 60 เมตร ตามถนนมาเรื่อยโดนบ้าน 4 หลังรวมร้านน้ำชา ถ้านับกระสุนตามรูเกิน 60 รู ยิงด้วยปืนกล 3 กระบอกจากท้ายรถกระบะ เด็กตาย 2 คน บาดเจ็บ 5 คน อีก 5 นาทีเจ้าหน้าที่ก็มาถึง ชาวบ้านตั้งคำถามว่า หมู่บ้านนี้มีด่านอยู่ก่อนทางเข้าหมู่บ้านทั้ง 2 ทาง มีทั้งหมด 3 ด่านหัวท้าย รถกระบะที่มีปืนกล 3 กระบอกวิ่งผ่านด่านโดยด่าน
ไม่รู้ได้อย่างไร สวนกับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาด้วย หายไป 2 วัน ผู้บริหารบ้านเมืองก็ตอบว่าก็โจรมันอยู่ในหมู่บ้าน
มันไม่ได้ออกมา ตอบแบบนี้กลายเป็นช่วยโจรให้มีแนวร่วม แทนที่จะบอกว่าต้องสืบสวนให้ได้ ช่วยกันร่วมมือค้นหา ชาวบ้านโดนข่าวแบบนี้ก็หดหู่ นาวิกโยธินถูกฆ่าตายทารุณมาก โจรควรถูกจับ แต่เด็กนั่นก็ถูกยิงทารุณเหมือนกัน โจรที่ยิงกราดก็ต้องถูกจับทั้งคู่ ต้องหาความจริง ไม่ใช่มาแบ่งเป็นพวก วิธีแบ่งพวกนี่มันเกิดปัญหาเยอะเลย

หลังเกิดเหตุการณ์ได้เข้าไปในพื้นที่ตันหยงลิมออีกไหม
ผมได้ไปนั่งคุยกับเด็กและชาวบ้านเป็นสิบครอบครัว มีครอบครัวหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับมัสยิด ชื่อต่วนมีเมาะมีลูก 5 คนถูกจับไป ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ๆ บอกว่าการก่อเหตุร้ายประกอบไปด้วยกลุ่ม 5 กลุ่ม คือกลุ่มที่ทำให้เชื่อทางศาสนา กลุ่มปฏิบัติการ กลุ่มสร้างข่าว กลุ่มสืบข่าว และกลุ่มเสบียง ต่วนมีเมาะเลี้ยงลิงตัวนึงไว้รับจ้างขึ้นมะพร้าวกับสะตอในหมู่บ้าน ที่นั่นเขาใช้วิธีแบ่งครึ่งระหว่างเจ้าของสวนกับเจ้าของลิง ขึ้นสะตอก็แบ่งสะตอ ในบ้านนี้เลยมีสะตอดองเก็บไว้กินเยอะ ชาวบ้านคิดว่าเจ้าหน้าที่จับต่วนมีเมาะไปเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นกลุ่มเสบียงเนื่องจากมีสะตอดองในบ้านเยอะ ชาวบ้านก็งงว่าทำไมเอาสะตอดองเป็นหลักฐาน แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ปล่อย



เราได้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์ในครั้งนี้บ้าง
ที่ตันหยงลิมอเป็นตำบลที่มี 8 หมู่บ้าน หมู่บ้านที่เกิดเหตุไม่ใช่หมู่บ้านสีแดง ที่ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นหมู่บ้านสีแดงนั้นผิดหมู่บ้าน ถ้าเรามองออกจะรู้ว่ามันเกิดปัญหาการได้ข้อมูลเท็จ เพราะโจรที่ทำอยู่ในมุมมืดคอยจังหวะยั่วให้คนนี้ฆ่าคนนี้ ทำให้คนดีๆ มาฆ่ากันเอง เจ้าหน้าที่ก็ทำถูกแล้วที่ไม่เข้าไปแย่งตัวนาวิกโยธิน เพราะถ้าเจ้าหน้าที่เข้าไป นาวิกโยธินก็ถูกฆ่าตาย แต่ในโจรที่อยู่ในมุมมืดก็จะยิงเด็ก ยิงผู้หญิง ยิงคนบริสุทธิ์ด้วย ถ้าสถานการณ์เป็นอย่างนั้นก็จะร้ายแรงจนคุมไม่ได้ โจรก็คอยแหย่แบบนี้ รัฐบาลก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นโจรก็เลยไม่รู้จะปราบใคร
ผมไปถามแม่ของเด็กที่ตายทั้ง 2 คน เขาบอกเลยว่าอย่าหาคนยิงเลย เดี๋ยวคนยิงเขาโกรธเอา แล้วเขาจะยิงพวกเรามากขึ้น มันเหงาขนาดนั้น แม้แต่ผู้ร้ายที่ยิงลูกยังไม่อยากรู้เลย เพราะกลัวเขามายิงอีก บ้านเมืองมีอะไร ทำไมถึงปกป้องคนบริสุทธิ์ไม่ได้

นโยบายแจกปืน 15,000 กระบอก ให้กับอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน ถือเป็นทางแก้ที่ตรงจุดไหม
ถ้าทุกบ้านมีปืนที่ยุ่งเลย เพราะปืน 80-90 เปอร์เซ็นต์ ไม่เคยเอาไว้ป้องกันตัวเอง ปืนเป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ถูกฝึกมาแล้ว ถ้าคนปกติมีปืนนี่มันอีกเรื่องเลย ถ้าเราขับรถเข้าไปในห้าง เราไม่คืนบัตรจอดรถ แล้วพนักงานรปภ.ยิงเราล่ะ เขานึกว่าเขามีอำนาจ คนที่ขับรถแซงกันถึงลงมายิงกันไง พอมีปืนก็นึกว่าตัวเองมีอำนาจ ไม่มีประเทศไหนเขาแก้ปัญหาด้วยการแจกปืนหรอก

เหตุการณ์นี้จะบานปลายกลายเป็นสงครามได้ไหม
สิ่งที่น่าห่วงก็คือเมื่อไหร่ที่ฆ่าพระ ฆ่าคนตามถนนได้ คนที่ทำอย่างนี้ได้ต้องมีความเชื่อว่านี่คือสงคราม ไม่มีใครฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่รู้จักได้ ยกเว้นทำสงครามกับศัตรู ไม่ได้ดูว่าเป็นคนบริสุทธิ์หรือไม่ แต่เป็นคนอีกชาตินึง ถึงทิ้งระเบิดตายกันเป็นเบือ ฆ่ากันเป็นหมื่นเป็นแสนได้เพราะเป็นสงคราม สภาพแบบนี้น่าห่วงแสดงว่าคนฆ่าต้องคิดว่าเขาอยู่ในภาวะสงครามแล้ว

ข้อมูลเหล่านี้คนที่อยู่ในพื้นที่อย่างสส. หรือสว. ใน 3 จังหวัดก็น่าจะทราบ แต่ทำไมถึงไม่ออกมาเคลื่อนไหวอะไร
ทุกคนกลัวถูกอุ้ม ไม่มีใครกล้า ถ้าเขาอยู่ที่นั่นแล้วถูกขีดว่าอยู่ข้างไหน ไม่ว่าอยู่ฝ่ายไหนก็อันตราย
มันทำให้ทุกคนไม่กล้าออกความเห็น ไม่กล้าพูดกับใคร เพราะรัฐบาลปกป้องเขาไม่ได้

การไปเยือนพื้นที่ 3 จังหวัดของนายกฯ ช่วยได้ไหม
ไม่ช่วยหรอก เจ้าหน้าที่ที่นั่นเขารู้จังหวะขั้นตอนที่ควรจะทำ แต่สิ่งที่นายกฯ ทำมันเป็นเรื่องส่วนตัวทางการเมือง ซึ่งมันไปสร้างปัญหาสำหรับคนในพื้นที่ ชาวบ้านเขาจะรู้สึกยังไง เมื่อนายกฯ ได้แสดงต่อคนภาคกลางเหมือนว่าฉันได้ไปเหยียบรังโจร ถ้าที่นั่นมันไม่ใช่รังโจรแล้วคนดีๆ เขาจะรู้สึกยังไง เขาก็กลายเป็นแนวร่วมไป เช่น พูดว่าผมไม่กลัว ผมจะไป แต่ไปถึงก็มีรถเกราะกันกระสุน 2 คัน สลับนั่ง มีทหารเป็นพัน นี่แหละ ผมไม่กลัว ไม่ผิดเลยที่จะมีการรักษาความปลอดภัยแบบนั้นสำหรับนายกฯ แต่ผิดที่พูด พูดทำไม ถ้าพูดแล้วไม่ทำตรงกับที่พูด
คนที่นั่นเขาก็มองเป็นละคร หรือไปถึงหมู่บ้านในช่วงถือศีลอดก็ถามเด็กว่าถือศีลอดเพื่ออะไร เด็กก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง นายกฯ ก็บอกว่า อย่างนี้ผมคงต้องมาสอนศาสนาเอง การพูดถึงศาสนาแบบผิดๆ แบบนี้จะโดยรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่มันทำให้คนมุสลิมเขาขมขื่น

ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ทำไมเราถึงได้ยินแต่เสียงของนายกฯ กับเจ้าหน้าที่รัฐ ทำไมเราถึงไม่ได้ยินเสียงของชาวบ้านผ่านสื่อบ้าง
ต้องบอกก่อนว่าชาวบ้าน 99.5 เปอร์เซ็นต์น่ะเป็นคนดี โจรไม่ต้องให้มันมาพูดหรอก เราต้องให้ชาวบ้านพูดความจริงจะได้รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร พูดถึงความกลัวของเขา พูดถึงความขมขื่นของเขา พูดว่าทำไมถึงเกิดอย่างนี้ แต่ถ้าเขาพูดแล้วไม่ปลอดภัย เขาจะพูดทำไม

แปลว่าสื่อพยายามเสนอข่าวอย่างเป็นกลางแล้ว แต่ชาวบ้านเลือกที่จะไม่พูดเอง
ไม่ใช่ไม่เลือก เขากลัวเพราะญาติเขาถูกยิงตายไปแล้ว สื่อเองก็ไม่ค่อยมีใครเข้าไปลึกมากนัก เพราะฟังภาษาไม่ได้ ไม่เข้าใจวัฒนธรรม คนท้องถิ่นเขาก็อยากออกความเห็นมาก แต่เขาพูดภาษาไทยไม่คล่องก็กังวลว่าจะสื่อสารได้ไม่หมด ตอนนี้มีศูนย์ข่าวอิศราของสมาคมนักข่าวไปตั้งที่นั่น ส่งนักข่าวจากส่วนกลางทุกหน้าข่าวเวียนกันไปอยู่ครั้งละ 2 เดือนทำงานร่วมกับนักข่าวท้องถิ่น ทำข่าวออกมาแล้วหนังสือฉบับไหนจะดึงไปใช้ก็ได้ เป็นศูนย์ข่าวที่เป็นอิสระจากหนังสือพิมพ์ทำให้ไม่อยู่ในอิทธิพลของหนังสือพิมพ์ แต่มันยังช้า กว่าเรื่องจริงจะออกมาได้ก็ต้องรอ 3-4 วัน แล้วข่าวนี้พวกนี้ก็จะไม่อยู่หน้าหนึ่ง ยังไม่สามารถช่วยป้องกันเหตุการณ์จากความเข้าใจผิดได้ แต่ช่วยแก้ความเข้าใจตามหลังได้ สื่อที่ให้ความจริงได้ ณ ที่เกิดเหตุเลยคือวิทยุ ให้ทุกฝ่ายได้พูดความจริงกันหมดว่าตัวเองกำลังคิดอะไรทำอะไร เพราะอะไร จะได้ไม่เข้าใจผิด ไม่ทำอะไรเพราะความกลัว ไม่ให้ใครใช้ข้อมูลเท็จเพื่อไปปลุกระดมใคร ถ้าคนที่นั่นพูดไม่ได้ ก็ให้คนที่อื่นพูดแทนได้ เพราะคนที่อื่นไม่กลัว เขาไม่ได้อยู่ในพื้นที่ วิทยุจะช่วยเรื่องป้องกันเหตุร้ายจากความกลัวได้ ตอนนี้ก็กำลังติดต่อกับผู้บริหารรายการร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้ไปทำรายงานสดจากหมู่บ้านเมื่อเกิดเหตุการณ์ในทันที

มองทางแก้ปัญหาภาคใต้เอาไว้ยังไงบ้าง
ปัญหาที่สำคัญคือข้อมูลความเป็นจริง การไม่รู้ความจริงทำให้เกิดปัญหาเป็นวงจร เริ่มจากการมีพวกศาลเตี้ยอุ้มฆ่า ความคับแค้นทำให้เกิดแนวร่วมโจรมากขึ้น ไปหาข่าวชาวบ้านก็ไม่บอก กลัวทั้งโจรกลัวทั้งพวกศาลเตี้ยเพราะรัฐป้องกันเขาไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ก็เพราะไม่มีข่าว ไม่มีข่าวเพราะมีพวกศาลเตี้ยไปกดขี่เขา ก็ยิ่งเกิดแนวร่วม ถามว่าวงจรนี้จะหยุดที่ไหนก็ต้องหยุดโดยปราบพวกกดขี่ก่อน คนถึงจะบอกความจริงกับเจ้าหน้าที่ที่เสียสละ แล้วทั้งคนกดขี่และโจรก็จะถูกปราบ ถ้ายิ่งปล่อยให้เกิดศาลเตี้ยโดยไม่สอบสวนนี่จบเลย
ผมเสนอทางแก้ปัญหาในสภาว่า อันแรก นายกฯ ต้องขอโทษประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะมันคือการส่งสัญญาณไปยังกระบวนการทั้งหมดว่า ขอโทษ วิธีการเดิมผิดพลาด จะไม่เอาอย่างเดิม
อีกแล้ว ถ้าไม่เริ่มอย่างนี้ก็ไม่มีทางเพราะคนก็ยังรู้สึกว่าเป็นเหมือนเดิม
อันที่สองคือตั้งต้องกลับไปทางเก่า คือต้องตั้งศอ.บต. หรืออะไรที่คล้ายศอ.บต. ออกเป็น พ.ร.บ. มีอำนาจตามกฎหมายที่จะจัดการกับทั้งโจรและคนที่กดขี่ชาวบ้านได้ แล้วที่สำคัญที่สุดผู้นำต้องเป็นคนมีศีลธรรม ต้องเป็นที่ไว้วางใจ ชาวบ้านถึงจะบอกข้อมูล คนนี้ต้องโปรดเกล้าฯ ถ้าแต่งตั้งจากนายกฯ มันเป็นไปไม่ได้ อิหม่ามบางคนบอกว่าไม่รู้จะทำยังไง ทหารให้ไปประชุมก็อยากร่วมมือ แต่พอกลับมาบ้านโจรก็หาว่าเอ็งใช่ไหมที่เป็นคนบอก ถ้าเขาไม่มาร่วมกับเจ้าหน้าที่ก็หาว่าอยู่ฝ่ายโจร เขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่มีอะไรป้องกันเขาได้เลย เพราะฉะนั้นต้องมีโครงสร้างที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
โดยรวมคือต้องเปลี่ยนทิศทาง มีองค์กรที่จัดการ และวิธีการจะตามมาเอง ศอ.บต.เป็นการบริหารภาคใต้วิธีพิเศษอยู่แล้ว เคยทำได้ผลมาแล้ว แต่การตั้งศอ.บต.อาจทำให้นายกฯ ไม่ชอบ ถ้านายกฯ ขอโทษก่อนมันก็จบ

เหมือนที่คุณทิววัฒน์เคยเขียนการ์ตูนในกรุงเทพธุรกิจว่า ให้คนไทย 60 ล้านคนพับนก แทนคำขอโทษของคนคนเดียว
ใช่ เราต้องแก้ปัญหาอย่างฉลาด เอาสิ่งที่เขารักมากกว่ามาแก้ปัญหา คือศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้นำศาสนาบอกว่าจบก็คือจบ ถือเป็นการเสียสละเพื่อศาสนา มันต้องใช้สิ่งที่เขารักกว่ามาแก้ คือไม่ว่าเขาจะชอบโจรหรือไม่ชอบ เขาจะชอบชาตินิยมหรือไม่ชอบ แต่เขารักศาสนามากกว่าแน่นอน ไม่ใช่เอาอำนาจที่เขาเกลียดกว่าไปเอาชนะ

ทำไมคนใต้ถึงเคร่งศาสนามากกว่าคนในภูมิภาคอื่นๆ
คงไม่ใช่เคร่ง เรียกว่าสอดคล้องดีกว่า เขาใช้ชีวิตมาอย่างนั้น เป็นชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ในช่วงที่จอมพลป. พยายามให้เขาพูดไทยให้หมด มันก็เกิดปฏิกิริยาที่จะไม่ออกจากศาสนา ปอเนาะก็เป็นสัญลักษณ์ของการต้องรักษา คนก็เลยยึดศาสนากันใหญ่ ยิ่งรัฐพยายามจะให้เลิก คนก็ยิ่งยึด เพราะฉะนั้นวิถีชีวิตของคนที่นี่
จะสอดคล้องกับศาสนามากกว่าที่อื่น

ครอบครัวของผู้สูญเสียที่ได้พบเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนที่ผมเข้าไปในพื้นที่พบว่ามีเด็กที่เป็นระเบิดเวลาเยอะมาก พ่อตาย 1,000 คน อย่างน้อยก็มีเด็กกำพร้า 2,000-3,000 คนแล้วที่พร้อมจะเป็นระเบิดเวลา ไม่ว่าพ่อเขาจะเป็นใคร เขาก็คับแค้น เพราะไม่มีใครมาจัดการ เขาก็คิดจะจัดการเอง และไม่ว่าผู้ที่ตายจะเป็นใคร เป็นเจ้าหน้าที่หรือเป็นโจร แต่เด็กกับผู้หญิงที่เหลืออยู่คือผู้บริสุทธิ์ เราต้องเยียวยาคนกลุ่มนี้ไม่ให้กลายเป็นระเบิดอีก ต้องกันไม่ให้เขากลายเป็นแนวร่วม

ทำยังไง
เราต้องเข้าไปคุยกับเด็ก คุยกับครอบครัว ว่าสังคมนี้ไม่ได้มีแต่คนโหดร้ายที่ฆ่าพ่อเขา ยังมีเพื่อนคนไทย มีคนอื่นๆ อีก เขาจะได้รู้ว่าคนที่ทำกับเขาไม่ใช่ทั้งหมดของสังคมไทย เหมือนอย่างที่เราเดินไปปากซอยถูกตำรวจไถแล้วเราไม่ระเบิดออกมาเพราะเรารู้ว่าทั้งสังคมไม่ได้มีตำรวจคนนี้คนเดียว การเข้าไปคุยกับเขาทำให้พบว่าผู้หญิงมุสลิมที่สามีตายไม่โกรธเลยที่มีคนมาฆ่าสามี เพราะเขาคิดว่ามันเป็นประสงค์ของพระเจ้า ไม่มีใครทำให้ใครตายได้ถ้าพระเจ้าไม่ได้กำหนด เขาคิดว่าสามีเขาได้มีความสุขแล้วที่ได้อยู่ใกล้พระเจ้า เป็นความคิดที่ช่วยเยียวยาได้มาก แต่รุ่นลูกนี่สิ พ่อตาย แม่ซึมเศร้า ถูกมองด้วยความระแวงจากสังคม มีคนมาโกหกเรื่องพ่ออีก
เขารู้มาตลอดว่าพ่อเขาไม่ได้ติดยา แต่มีคนมาบอกว่าพ่อเขาติดยา



เลือกครอบครัวที่เข้าไปหาอย่างไร
ผมมีข้อมูลพื้นฐานที่เป็นตัวบุคคลอยู่แล้วว่าใครเสียชีวิต ใครหาย ใครบาดเจ็บ เพราะผมทำงานให้กรรมการสิทธิมนุษยชน แล้วผมก็ทำงานร่วมกับนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีสิบกว่าคน น้องๆ นักศึกษาก็ลงพื้นที่ไปสำรวจก่อนว่าครอบครัวไหนเป็นยังไงบ้าง แล้วเราก็ลงไปเยี่ยมที่นั่นไปตามบ้านเลย ผมไปเยี่ยมมาแล้วสามร้อยกว่าครอบครัว สิ่งที่ต้องทำก็คือการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ช่วยเหลือเรื่องเงินเพราะเอาเข้าจริงๆ ลูกตำรวจที่บอกว่าจะมีเงินให้ 7-8 เดือนก็ยังไม่ได้สักบาท ครูก็ยังต้องกู้เงินทำศพเลย ผมก็เริ่มทำจากทุนส่วนตัว มีเพื่อนมาช่วยบ้าง แล้วก็ตั้งเป็นกองทุนขึ้นในมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์ ตั้งใจว่าจะให้เงินปีละสามหมื่นบาทสามปีเป็นพื้นฐานก่อน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องให้เงินทุกครอบครัว เพราะบางครอบครัวก็ต้องการเรื่องสุขอนามัย ต้องการการรักษาพยาบาล ต้องการนมลูก ต้องการยา ต้องการงาน ต้องการทนาย ผมก็ติดต่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ที่อยู่ในอาชีพต่างๆ การที่คนนึงเข้าไปจับมือเป็นเพื่อนว่าทุกข์ยากอะไรช่วยได้ไหม มันสำคัญที่สุด
เรื่องที่สองที่ผมเข้าไปทำก็คือการถ่ายทอดเรื่องราวเพื่อให้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อคนที่นั่น คนที่นั่นจะได้มีเพื่อน จะได้ไม่กลายเป็นระเบิดเวลา ผมก็ถ่ายทอดโดยการเขียนเรื่อง ชีวิตที่เหลืออยู่ ลงในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ แล้วอีกส่วนก็เขียนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลว่าควรจะเป็นอย่างไร หรือให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ทำถูกต้อง นอกนั้นก็มาทำงานด้านนโยบาย

ในส่วนของภาคประชาชนทั่วไป เราช่วยอะไรบ้าง
เริ่มต้นเราอย่าเพิ่งไปสรุป ต้องเริ่มต้นด้วยการเข้าหาข้อเท็จจริงก่อน เมื่อเราสัมผัสข้อเท็จจริงเราจะพบทั้งความจริงแท้ของเรื่องและหน้าที่ของเราต่อสิ่งนั้น แล้วเราจะพบความสุขเสมอ สิ่งที่ทำได้ก็คือการช่วยเยียวยาไม่ให้เกิดระเบิดเวลา แล้วก็เป็นเพื่อนกัน เมื่อสามีเขาตาย เขาก็อาจจะมีปัญหาเรื่องการเลี้ยงชีพ คนที่นั่นอยู่ด้วยเงินไม่มากเพราะเป็นเศรษฐกิจพอเพียง เดือนละ 2 พันบาทก็พอแล้ว ครอบครัวที่มีลูก 9 คนก็อยู่ได้แล้ว เพราะรายได้ปกติก็สัก 4 พันบาท แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเลยเพราะสามีตาย ใครจะส่งมาที่กองทุนก็ได้ แต่ถ้าช่วยตรงครอบครัวสู่ครอบครัวก็จะเป็นการสร้างเพื่อนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เป็นเพื่อนกันทีละครอบครัว ครอบครัวที่แข็งแรงได้ช่วยเหลือครอบครัวที่อ่อนแอกว่า มันก็ได้ตอบแทนกันทั้งคู่ ทางโน้นได้เงิน ทางนี้ลูกเต้าได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มีครอบครัวนึงบอกว่ามีประโยชน์มากต่อลูกเขา เพราะลูกของครอบครัวผู้สูญเสียกับลูกเขาอายุใกล้ๆ กัน ลูกเขาจะได้รู้จักการทำหน้าที่ต่อคนยากลำบากกว่าตั้งแต่เล็กๆ มันเล็กน้อยมากเลย แค่ส่งหนังสือ ดินสอ สมุดวาดเขียนให้ ครอบครัวคนเมืองมักจะขาดเรื่องคุณค่าทางจิตใจ มักด้อยโอกาสที่จะทำให้รู้ว่าตัวเองมีคุณค่าอะไรบ้าง ถ้าได้ทำสักครั้ง ลูกเขาจะรู้เลยว่าควรจะทำอะไรต่อ

ถ้าทุกอย่างยังดำเนินต่อไปอย่างนี้ กรณีที่แย่ที่สุด ปัญหาภาคใต้จะไปจบที่ตรงไหน
ถ้ายังปล่อยให้มีการอุ้มฆ่าอยู่ พวกขบวนการจากต่างประเทศที่รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลญาติพี่น้อง เขาก็จะเข้ามา ถ้ากลุ่มนี้เข้ามาอเมริกาก็ต้องเข้ามา ศัตรูเขานี่ แล้วมันก็จะกลายเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สหประชาชาติก็ต้องเข้ามา แล้วก็นำไปสู่การลงประชามติ กลายเป็นว่ารัฐช่วยทำหมดเลย โจรมันแค่ยั่วเท่านั้นเอง


ถ้าได้เจอกับแกนนำโจรภาคใต้ คุณอยากจะบอกอะไรกับเขา
บาปกรรม เลิกซะเถอะที่ทำเนี่ยตกนรกแน่นอน ฆ่าคนบริสุทธิ์มันไม่ดีหรอก หลอกตัวเอง หาทางออกอื่นเถอะ แต่คนที่ควรจะบอกมากกว่าก็คือ คนที่ทำศาลเตี้ยอุ้มฆ่า อันนี้อันตรายกว่าเพราะมีอำนาจ สรุปว่าทั้งสองฝ่ายต้องเลิก ถ้าเราไม่ลงโทษทั้งสองฝ่าย ประชาชนจะลำบาก

ที่ผ่านมาเรามักได้ยินข่าวเรื่องภาคใต้ต่างๆ นานา ตรงกันบ้าง ต่างกันบ้าง เหมือนกับว่าความจริงมีหลายชุด ถ้ามีคนกำลังตั้งข้อสงสัยกับความจริงฉบับคุณโสภณ คุณจะบอกเขายังไง
ผมก็ไม่ทราบจะบอกยังไง ผมเชื่อว่าไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ เราต้องเข้าไปสู่ข้อเท็จจริงก่อน ไม่ใช่ว่านายกฯ บอกเชื่อผมเถอะแล้วก็เชื่อ พระพุทธเจ้าบอก อย่าเชื่อตถาคต ให้ทำด้วยการปฏิบัติโดยการเข้าถึงความจริงแล้วจะพบหน้าที่ ผมก็ใช้วิธีแบบพระพุทธเจ้า เข้าไปในพื้นที่ เข้าไปหาครอบครัวเลย ไม่ฟังราชการ ไม่ฟังองค์กร ไม่ฟังเอ็นจีโอ เราจะรู้เรื่องทั้งหมดเลยถ้าเราเข้าไปที่ครอบครัว คนที่นั่นเขาอยู่อย่างมีความสุขมาเป็นร้อยปีนะ อาจจะมีระเบิดสถานีรถไฟ แต่ก็ไม่เคยฆ่ากันแบบนี้ เพิ่งมามีสมัยรัฐบาลชุดนี้ แล้วจะให้ผมเชื่อรัฐบาลชุดนี้ได้ยังไง
ในหลวงบอกคนที่นั่นเป็นคนดี สมเด็จพระบรมราชินีนาถบอกคนที่นั่นเป็นคนดี ป๋าเปรมบอกคนที่นั่นเป็นคนดี ผมก็บอกอย่างนั้น เพราะผมไปพบแบบนั้น ผมไม่ได้คิดว่ามีข้างไหนทั้งนั้น มีแต่คนดีกับคนเลว คนเลวมันก็มี
ทุกศาสนาทุกเชื้อชาติ อย่าไปแบ่งพวก ให้แบ่งคนดีกับคนเลว
สำหรับรัฐบาลผมก็บอกเท่าที่จะบอกได้ ผมเป็นแค่คนคนนึงที่เพียงทำหน้าที่มนุษย์ สิ่งที่ผมทำทั้งหมดคือการทำหน้าที่มนุษย์ ไม่ใช่เรื่องของตำแหน่งใดๆ ทั้งนั้น ผมไม่ยอมให้ตำแหน่งหรืออะไรก็ตามมาจำกัดหน้าที่นี้ของผมเด็ดขาด บางคนมีความรู้สึกว่าถ้าเราไปพูดว่ากล่าวคนที่มีอำนาจจะไม่ดี แค่ทำให้คนมีอำนาจไม่พอใจ
นี่มันแรงแล้วหรือ แล้วที่คนมีอำนาจไปทำให้เขาตาย เจ็บ พิการ เป็นพันเป็นหมื่น นี่มันยิ่งกว่าไม่ดีอีกนะ

หน้าที่ของมนุษย์ที่คุณหมายถึงคือ
ยกตัวอย่าง แม่วิ่งลงทะเลไปช่วยลูกตอนสึนามิมา เป็นความสุขของแม่ที่ได้ทำ ดีกว่าไม่ได้ทำ ถ้าแม่วิ่งหนีแล้วลูกตาย ที่เหลือทั้งชีวิตจะเป็นนรก เมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์ทำตรงหน้าที่เราจะไม่พบความกลัว เราจะพบแต่ความสุขเสมอ ความเป็นมนุษย์หมายถึงการได้ทำหน้าที่ที่ควรจะทำ มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงที่ธรรมชาติของสัตว์ตัวที่แข็งแรงจะกินตัวที่อ่อนแอ แต่ธรรมชาติของมนุษย์ที่สูงกว่าสัตว์ก็เพราะมนุษย์มีสำนึกได้ว่าตัวเองมีหน้าที่ต่อผู้ที่อ่อนแอกว่า เราถึงเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ไปหากินกับคนจน หากินกับเด็ก หากินกับการพนัน หากินกับคนป่วย ด้วยการท่องคาถาว่าต้องใช้กลไกตลาด ต้องแข่งขันอย่างเป็นธรรม คนแข็งแรงกับคนอ่อนแอแข่งกันมันจะเป็นธรรมได้อย่างไร






สนใจช่วยเหลือครอบครัวผู้สูญเสียผ่านมูลนิธิสื่อสร้างสรรค์และมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว โทร 0-1641-0416, 0-1831-4896